คลังเก็บหมวดหมู่: ข่าวฟุตบอล

UFABETWIN เพิ่ม เอฟเอคัพ เข้าไปในรายชื่อผู้ที่ตกเป็นเหยื่อ เนื่องจากความไม่เท่าเทียมมีมากมายและขาดความสม่ำเสมอ

UFABETWIN เพิ่ม เอฟเอคัพ เข้าไปในรายชื่อผู้ที่ตกเป็นเหยื่อ เนื่องจากความไม่เท่าเทียมมีมากมายและขาดความสม่ำเสมอ

UFABETWIN วีเออาร์ อยู่ในบางสนามแต่ไม่ใช่อย่างอื่นในเอฟเอ คัพ ซึ่งการมี วีเออาร์ ที่แอนฟิลด์ไม่ได้ส่งผลดีต่อวูล์ฟแฮมป์ตันแต่อย่างใด มันค่อนข้างไร้สาระ มันคือรอบที่สามของเอฟเอ คัพ สุดสัปดาห์ ถึงเวลาที่ต้องพูดประโยคอมตะ…” ผู้คนบอกว่าเวทมนตร์ของเอฟเอ คัพนั้นตายไปแล้ว แต่…” และสื่อก็แสร้งทำเป็นว่ามันเหมือนวันเก่า ๆ

แต่ทุกคนที่จำวันเก่า ๆ ได้ รู้ว่ามันไม่มีอะไรเหมือนวันเก่า ถึงกระนั้นก็ตาม ยังคงมีช่วงเวลาที่เวทมนตร์เก่าหวนคืนกลับมา เช่นเพื่อนเก่าที่ห่างหายกันไปนานและเป็นที่รักยิ่ง และเรายึดติดกับสิ่งเหล่านั้นเหมือนกับที่คนจมน้ำเกาะติดกับเศษไม้ที่ลอยไป อย่างไรก็ตาม มันเป็นเรื่องยากที่จะโรแมนติกกับถ้วย เมื่อเงินมักจะทำให้ความรักหมดไปและปล่อยให้มันกลายเป็นน้ำแข็งข้างถนนระหว่างทางไป ชนะเกมรอบที่ 3 ของคุณ

และคุณพร้อมที่จะกอบโกยเงิน 105,000 ปอนด์ ซึ่งจะจ่ายค่าจ้างของ ประมาณสองวัน อยู่ในพรีเมียร์ลีกและนั่นคือ 100 – 160 ล้านปอนด์ในจรวดของคุณ เพียงพอที่จะจ้างเครื่องบินเพื่อพาผู้เล่นของคุณบินเป็นระยะทาง 135 ไมล์จากนอตติงแฮมไปแบล็คพูลและไปกลับ เสียงเงินสดในพรีเมียร์ลีกกลบเสียงกรีดร้องของดาวเคราะห์ที่กำลังจะตายอย่างเห็นได้ชัด

แต่นอกเหนือไปจากการทำลายล้างของดาวเคราะห์แล้ว สิ่งที่สำคัญกว่านั้นเกิดขึ้นในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาของเอฟเอคัพ เกมเอฟเอ คัพ เก้าเกมอยู่ภายใต้การควบคุมของ วีเออาร์ และ 23 เกมไม่ได้ควบคุม เฉพาะแมตช์ที่เล่นในสนามพรีเมียร์ลีกเท่านั้นที่มี วีเออาร์

เนื่องจากเอฟเอ ไม่มีใบอนุญาตให้ใช้ วีเออาร์ ในการแข่งขันทั้งหมด ใช่ คุณต้องมีใบอนุญาต ฉันคิดว่ามันดูเหมือนใบรับรองการว่ายน้ำใบหนึ่งที่พิมพ์บนการ์ดสีชมพูที่คุณได้รับจากการทำสระว่ายน้ำในพื้นที่ของคุณ แต่เอฟเอ ไม่ได้ยื่นขอใบอนุญาตเต็มรูปแบบกับ

เพื่อใช้เทคโนโลยีนี้ บางทีพวกเขาอาจจะยุ่ง อย่างไรก็ตาม มันแสดงให้เห็นว่าสมาคมฟุตบอลไม่ใช่เกมเดียวอีกต่อไป แต่มีสองเกม หรืออาจเป็นไปได้สามเกมตามที่เหตุการณ์ที่ลิเวอร์พูลแสดงให้เห็น แน่นอนว่าสนามและสโมสรขนาดเล็กจำนวนมากไม่มีและไม่สามารถจ่าย วีเออาร์ ได้อยู่ดี ซึ่งต้องใช้กล้องสี่ตัวเป็นอย่างน้อย ไม่ใช่แค่เจ้าหมอดูโทรทัศน์

คุณรู้ไหมว่าเป็นระบบไฮเทคขั้นสูง ซึ่งใช่ เกี่ยวข้องกับเจ้าหมอดูโทรทัศน์ แต่เป็นโทรทัศน์ที่คุณสามารถวาดเส้นได้ นั่นคือสิ่งที่ทำให้มันเป็นผู้พิพากษาที่ผิดพลาดของการล่วงละเมิด และนั่นต้องเสียเงิน เงินประเภทที่กิลลิงแฮมไม่เคยมีมาก่อน มีการติดตั้ง วีเออาร์ ที่ แต่การไม่มีใบอนุญาตให้ใช้ในเอฟเอ หมายความว่าไม่ได้เปิดใช้งาน

UFABETWIN

อย่างไรก็ตาม ทุกเกมในสนามของสโมสรในพรีเมียร์ลีกปัจจุบัน

ได้รับอนุญาตให้ใช้สิ่งอำนวยความสะดวกการเหล่และชี้ที่มีเทคโนโลยีสูง และทั้งหมดนี้หมายความว่า เอฟเอ คัพ ได้รับการตัดสินในสองวิธีที่แตกต่างกันโดยพื้นฐาน ซึ่งไม่ยุติธรรมโดยพื้นฐาน แน่นอนว่าลิเวอร์พูลมี วีเออาร์ แต่กล้องไม่เพียงพอที่จะแยกแยะว่า จากตำแหน่งล้ำหน้าหรือไม่

ดังนั้นปรากฎว่า วีเออาร์ เองไม่ใช่ระบบที่เท่าเทียมกันตั้งแต่ภาคพื้นถึงภาคพื้น สิ่งที่มองไม่เห็นในแอนฟิลด์อาจเห็นได้ที่เอมิเรตส์ หมาป่าทั้งหมด ช่างเป็นอะไรที่ยุ่งเหยิง สำหรับระบบที่นำมาใช้ต่อสู้กับความไม่ยุติธรรม ดูเหมือนว่าจะทำให้ทุกอย่างไม่ยุติธรรมมากขึ้น

ในทางทฤษฎีทุกเกมล้วนปฏิบัติตามกฎเดียวกัน แต่ในความเป็นจริงแล้วในเอฟเอ คัพ กลับไม่ใช่ หากไม่มี วีเออาร์ เจ้าหน้าที่จะตัดสินในสิ่งที่ตาเปล่ามองเห็น ไม่มีทางที่เจ้าหน้าที่คนใดจะเรียกหนึ่งในคำตัดสินไมโครออฟไซด์หรือการละเมิดที่ วีเออาร์ เชี่ยวชาญได้

พวกเขาดำเนินไปตามคำตัดสิน การตัดสินในท้ายที่สุดขึ้นอยู่กับแอนฟิลด์ในการตัดสินคนที่สามของซึ่งน่าขันพอสมควร แต่ถ้ามี วีเออาร์ มันก็จะตัดสินในสิ่งที่ตาเปล่ามองไม่เห็น สิ่งที่จะเห็นได้ชัดหลังจากตรวจสอบทุกมุมกล้องแล้ว ช้าลงและดูยากจริงๆ บางครั้งอาจนานถึงห้านาที

สิ่งนี้จะเปลี่ยนแปลงทุกอย่างในเกมเหล่านั้น ทีมสามารถชนะหรือแพ้ได้เนื่องจาก วีเออาร์ ออกกฎสำหรับการทำประตูสำหรับลูกล้ำหน้าเล็กน้อย (ซึ่งไม่มีใครได้เปรียบเสียเปรียบ) ซึ่งจะเป็นประตูที่ดีอย่างสมบูรณ์หากไม่มี วีเออาร์ เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นที่ฮิลส์โบโรห์

ซึ่งประตูแรกของเชฟฟิลด์ เวนส์เดย์กับนิวคาสเซิลอาจจะถูกตัดออกเพราะล้ำหน้าเพราะนิ้วเท้าของจอช วินดาสอยู่ข้างหน้าบอล แม้ว่าเขาจะไม่ได้ประโยชน์จากการละเมิดเล็กน้อยนี้ก็ตาม เขาจะยิงได้แม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้ก็ตาม แต่เจ้าหน้าที่คงมองไม่เห็น มันดู ‘เกี่ยวกับ’

และดังนั้นมันจึงเป็นเป้าหมาย ในขณะที่ท้ายที่สุดแล้วทั้งลูกล้ำหน้าและประตูล้ำหน้าของนิวคาสเซิลไม่ส่งผลต่อผลการแข่งขัน (หากทั้งคู่ถูกตัดออกในวันพุธ คงจะชนะ 1-0 ด้วยการโจมตีของ อันยอดเยี่ยม) มันทำหน้าที่เน้นความแตกต่างระหว่างเกมที่เล่นโดยมีและไม่มี ( ไม่มาก) ตาที่มองเห็นได้ทั้งหมด ปีที่แล้วทุกเกมจากรอบก่อนรองชนะเลิศได้รับอนุญาตจาก ให้ใช้ วีเออาร์ ดังนั้นพวกเขาอาจใช้กลอุบายนั้นซ้ำในฤดูกาลนี้

และการทำเช่นนี้ทำให้สถานการณ์ไม่ยุติธรรมและไม่สอดคล้องกันมากขึ้น

ไม่ใช่แค่ระหว่างเกมเท่านั้น แต่ยังรวมถึงระหว่างรอบด้วย มีความเป็นไปได้ค่อนข้างมากที่จะก้าวหน้าหรือตกรอบไปในรอบก่อนหน้า สำหรับการทำบางสิ่งที่จะเห็นการตัดสินที่ตรงกันข้าม ในรอบก่อนรองชนะเลิศ และตอนนี้ หลังจากเกมกับลิเวอร์พูล เรารู้ว่า วีเออาร์ นั้น

ไม่สอดคล้องกันแม้แต่ระหว่างสโมสรที่มี วีเออาร์ ถ้าเกมหนึ่งมีกล้องเจ็ดตัว อีกหกตัว และอีกสี่ตัว บางคนสามารถมองเห็นได้มากกว่าคนอื่น เห็นได้ชัดว่ามีจุดบอดที่ลิเวอร์พูลตรงมุมธงมุมถนนแอนฟิลด์ ดังนั้น ถ้าคุณต้องการทำอะไรที่ผิดกฎหมาย นั่นคือสิ่งที่ต้องทำ เด็กๆ

ดูเหมือนชัดเจนว่าหากทุกคนในเอฟเอ คัพไม่มี วีเออาร์ ก็ไม่มีใครควรมี แต่เอฟเอคิดว่ามันคุ้มค่าที่จะมีในทุกที่ที่ทำได้ โดยไม่คำนึงว่าจะทำให้เกิดความไม่ยุติธรรมมากเพียงใด นี่คือวิธีที่ วีเออาร์ บ่อนทำลายฟุตบอลที่เล่นเป็นกีฬาเดียว ทุกคนเล่นตามกฎเดียวกัน

ไม่ว่าเล็กหรือใหญ่ เอฟเอ คัพ เคยเป็นผู้เล่นเก็บเลเวลที่ยอดเยี่ยม แต่ตอนนี้ไม่ใช่แล้ว วีเออาร์ สามารถเพิ่มเข้าไปในรายการที่ทำให้ฟุตบอลแย่ลงเรื่อย ๆ นั่นคือความมหัศจรรย์ที่แท้จริงของถ้วย UFABETWIN

UFABETWIN ไขข้อสงสัย ทำไมฟุตบอลหญิงเอเชียถึงมีทีมระดับท็อปแค่ไม่กี่ทีม

ฟุตบอลหญิงชิงแชมป์เอเชีย 2022 กำลังจะเริ่มต้นการแข่งขันขึ้นในวันที่ 20 มกราคมนี้ ซึ่ง ทัพนักฟุตบอลหญิงไทย ถือเป็นส่วนหนึ่งของการแข่งขันครั้งนี้เช่นกัน โดยทัพชบาแก้วนั้นจะเดินเข้าสู่การแข่งขันแห่งนี้อย่างทรงเกียรติในฐานะแชมป์เก่า 1 สมัย

เมื่อมองไปยังเพื่อนร่วมเกียรติยศเดียวกัน จะพบว่ามีเพียงไม่กี่ทีมที่เคยคว้าแชมป์ฟุตบอลหญิงเอเชีย และถ้าหากไม่นับทีมชาติไทยแล้ว บรรดาทีมที่คว้าแชมป์รายการนี้ล้วนมาจากเอเชียตะวันออกและโอเชียเนียทั้งสิ้น แถมทีมที่คว้าแชมป์รายการนี้มาครองได้ในช่วง 30 ปีหลังสุดมีเพียง 4 ชาติเท่านั้น

จะพาไปไขข้อสงสัยว่าทำไมฟุตบอลหญิงเอเชียถึงมีทีมระดับท็อปแต่ไม่กี่ทีม กับคำตอบที่สะท้อนถึงประวัติศาสตร์, การเติบโต และข้อจำกัดที่เกิดขึ้นในวงการฟุตบอลหญิงเอเชีย

วางรากฐานบนเอเชียตะวันออก

หากต้องการทำความเข้าใจสถานการณ์ที่เป็นไปของวงการฟุตบอลหญิงเอเชียในปัจจุบัน เราจำเป็นต้องทำความเข้าใจประวัติศาสตร์และเรื่องราวของการแข่งขันที่สะท้อนภาพเกมลูกหนังหญิงในทวีปเอเชียกันก่อน นั่นคือเรื่องของ ฟุตบอลหญิงชิงแชมป์เอเชีย ที่ดำเนินการแข่งขันมาตั้งแต่ปี 1975

ย้อนกลับไปยังการแข่งขันฟุตบอลหญิงชิงแชมป์เอเชียที่จัดขึ้นเป็นครั้งแรกในฮ่องกง ในช่วงเวลานั้นวงการฟุตบอลหญิงเอเชียเพิ่งจะอยู่ในช่วงตั้งไข่ และมีประเทศที่สนใจจะเข้าร่วมแข่งขันเพียงน้อยนิด ฝ่ายจัดการแข่งขันจึงใช้วิธีคัดเลือกทีมที่จะเข้ามาเตะในทัวร์นาเมนต์ด้วยการเชื้อเชิญบรรดาชาติที่สนใจ ซึ่งรวมไปถึงการชวนประเทศจากโซนโอเชียเนียเข้ามาแข่งขันด้วย เนื่องจากไม่สามารถหาทีมจากทวีปเอเชียได้มากพอ

6 ทีมที่มีส่วนร่วมในฟุตบอลหญิงชิงแชมป์เอเชีย 1975 จึงได้แก่ นิวซีแลนด์, ออสเตรเลีย, ฮ่องกง, มาเลเซีย, สิงคโปร์ และไทย (แชมป์คือ นิวซีแลนด์) ซึ่งถ้าวิเคราะห์ลงไปในรายละเอียดของแต่ละทีมจะพบว่าทั้ง 6 ทีมที่เข้าร่วมการแข่งขันจะมีส่วนร่วมหรือความเชื่อมโยงกับทีมในทัวร์นาเมนต์ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง

โดย นิวซีแลนด์ และ ออสเตรเลีย ถือเป็นสองชาติที่เป็นตัวแทนของฝั่งโอเชียเนีย (ขณะนั้นออสเตรเลียยังไม่เข้าร่วม ส่วน นิวซีแลนด์, ออสเตรเลีย และ ฮ่องกง ถือเป็นเขตการปกครองที่อยู่ภายใต้อำนาจของสหราชอาณาจักรด้วยกันทั้งหมด (ฮ่องกงกลับคืนสู่จีนในปี 1997) และอีกสามชาติมาจากเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ทั้งหมด ได้แก่ มาเลเซีย, สิงคโปร์ และ ไทย ซึ่งมาเลเซียและสิงคโปร์นั้นเคยเป็นอาณานิคมของสหราชอาณาจักรมาก่อนเช่นกัน

จะสังเกตได้ว่าฟุตบอลหญิงในปี 1975 มีรากฐานและเติบโตมาจากประเทศในกลุ่ม “เอเชียหัวก้าวหน้า” ในช่วงเวลานั้นทั้งสิ้น เพราะมีถึง 5 ทีมจาก 6 ทีมที่จะลงแข่งขันในทัวร์นาเมนต์ดังกล่าว ที่ได้รับอิทธิพลจากโลกตะวันตกผ่านการปกครองโดยสหราชอาณาจักร จึงทำให้การเปิดรับกีฬาฟุตบอลของเพศหญิงเป็นไปได้อย่างง่ายดาย ส่วนประเทศไทยในปี 1975 กำลังอยู่ในช่วงปฏิรูปประเทศให้มีความทันสมัย ผ่านนโยบายของนายกรัฐมนตรี หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช

เมื่อการแข่งขันฟุตบอลหญิงชิงแชมป์เอเชียสำเร็จลุล่วงไปด้วยดีในปี 1975 การแข่งขันครั้งต่อมาในปี 1977 จึงมีผู้เข้าร่วมแข่งขันเป็นทีมจากทวีปเอเชียทั้งหมด โดยมีสามทีมที่เป็นหน้าใหม่ในทัวร์นาเมนต์นี้ ได้แก่ ญี่ปุ่น, ไต้หวัน และ อินโดนีเซีย ส่งผลให้ทีมที่มีส่วนร่วมกับทัวร์นาเมนต์นี้เป็นทีมจากภูมิภาคเอเชียตะวันออกและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ทั้งหมด

UFABETWIN

ถัดมาในการแข่งขันฟุตบอลหญิงชิงแชมป์เอเชียปี 1979 ความนิยมในเกมฟุตบอลหญิงยังแพร่กระจายต่อเนื่องสู่ภูมิภาคอื่น โดยคราวนี้เป็นชาติจากเอเชียใต้ที่ส่งทีมเข้าร่วมแข่งขันเป็นครั้งแรก ได้แก่ อินเดีย (ส่งเข้าแข่งขัน 2 ทีม คือทีมอินเดียเหนือและทีมอินเดียใต้) จึงทำให้นี่เป็นครั้งแรกที่ฟุตบอลหญิงชิงแชมป์เอเชียมีทีมจากสามภูมิภาคเข้าร่วมแข่งขัน (น่าสังเกตว่าอินเดียก็เคยตกเป็นอาณานิคมของสหราชอาณาจักรเช่นเดียวกัน)

นับแต่นั้นเป็นต้นมาฟุตบอลหญิงในทวีปเอเชียก็ได้ขับเคลื่อนอย่างต่อเนื่องอยู่ใน 3 ภูมิภาคของทวีป คือ เอเชียตะวันออก, เอเชียใต้ และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เนื่องจากการแข่งขันรายการนี้ยังคงคัดเลือกทีมเข้าสู่ทัวร์นาเมนต์ด้วยการเชื้อเชิญและความสมัครใจของแต่ละชาติ ความจริงที่ปรากฏออกมาจึงยืนยันได้ว่า ประเทศในทวีปเอเชียภูมิภาคนอกเหนือจาก 3 ภูมิภาคที่เรากล่าวไปไม่ได้ให้ความสนใจกับฟุตบอลหญิงเลย

ฟุตบอลหญิงชิงแชมป์เอเชียจึงถือเป็นพื้นที่แสดงความยิ่งใหญ่ในโลกกีฬาของประเทศแถบเอเชียฝั่งตะวันออกโดยเฉพาะ เห็นได้ชัดจากการเข้ามามีส่วนร่วมของเกาหลีเหนือในปี 1989 ซึ่งการแข่งขันอย่างเข้มข้นตรงนี้ส่งผลให้ชาติในฝั่งเอเชียตะวันออกพัฒนาทีมฟุตบอลหญิงของพวกเขาอย่างจริงจังกว่าทีมจากภูมิภาคอื่น เช่น เอเชียกลาง หรือ ตะวันออกกลาง ที่กว่าจะให้ความสนใจฟุตบอลหญิงพวกเขาก็ถูกทิ้งห่างไปไกลแล้ว

ก่อนการแข่งขันฟุตบอลหญิงชิงแชมป์เอเชีย 2022 ทุกทีมที่สามารถคว้าแชมป์รายการนี้ได้ต่างอยู่ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ทั้งหมด (ไม่นับชาติจากโอเชียเนีย) ได้แก่ จีน, เกาหลีเหนือ, ไต้หวัน, ญี่ปุ่น และ ไทย ซึ่งถ้าตัดความสำเร็จของทีมชาติไทยในปี 1983 ที่เราเป็นเจ้าภาพออกไป ถ้วยแชมป์ของรายการฟุตบอลหญิงชิงแชมป์เอเชียจะไปอยู่กับเอเชียตะวันออกทั้งหมด โดยเฉพาะ จีน ที่คว้าแชมป์มาได้ 7 สมัยรวด ในช่วงปี 1986-1999 ยิ่งหากนับช่วงเวลาที่จีนสลับกันคว้าแชมป์กับเกาหลีเหนือ ทั้งสองชาติก็จะผูกขาดความยิ่งใหญ่ร่วมกันนาน 22 ปีเลยทีเดียว (1986-2008)

หลักศาสนาขัดขวางการเติบโต

เห็นได้ชัดว่าการก้าวสู่ความยิ่งใหญ่ของจีน เกาหลีเหนือ หรือ ญี่ปุ่น ซึ่งเป็นแชมป์สองสมัยซ้อนและเป็นแชมป์ทีมล่าสุดของรายการฟุตบอลหญิงชิงแชมป์เอเชีย มาจากการที่ทั้งหมดต่างเป็นประเทศมหาอำนาจในเอเชียที่มีทรัพยากรมหาศาลพอที่จะพัฒนาวงการกีฬาในชาติได้อย่างเต็มที่

อย่างไรก็ตามมหาอำนาจในทวีปเอเชียไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเท่านั้น เพราะบรรดาประเทศในแถบตะวันออกกลาง ไม่ว่าจะเป็น ซาอุดีอาระเบีย, อิหร่าน, กาตาร์, หรือ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ต่างเป็นชาติเศรษฐีน้ำมันที่ให้ความสนใจกับกีฬาฟุตบอล โดยเฉพาะ ซาอุดีอาระเบีย และ อิหร่าน ที่เคยผ่านการเข้าร่วมฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายมาแล้วหลายครั้ง ส่วน กาตาร์ ก็กำลังจะรับบทบาทเป็นเจ้าภาพฟุตบอลโลก 2022 ส่วน สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ก็ลงทุนในธุรกิจฟุตบอลกับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ และทีมในเครือซิตี้ ฟุตบอล กรุ๊ป

แต่เมื่อหันกลับมามองการพัฒนาวงการฟุตบอลหญิงในตะวันออกกลาง กลับกลายเป็นว่าชาติทั้งหมดที่กล่าวมาไม่เคยมีประเทศไหนพาทีมผ่านเข้าสู่การแข่งขันฟุตบอลหญิงชิงแชมป์เอเชียได้เลย โดยก่อนหน้าการแข่งขันที่กำลังจะเกิดขึ้นในปี 2022 มีชาติจากตะวันออกกลางเพียงทีมเดียวเท่านั้นที่สามารถผ่านเข้าสู่ฟุตบอลหญิงชิงแชมป์เอเชียรอบสุดท้าย นั่นคือ จอร์แดน ที่เข้าร่วมการแข่งขันครั้งแรกเมื่อปี 2014 ก่อนจะรับบทเจ้าภาพการแข่งขันในปี 2018

สัญญาณที่ดีของวงการฟุตบอลหญิงในตะวันออกกลางเพิ่งเริ่มต้นขึ้นในฟุตบอลหญิงชิงแชมป์เอเชีย 2022 เมื่อมหาอำนาจอย่าง อิหร่าน สามารถพาทีมเข้าสู่การแข่งขันรอบสุดท้ายได้สำเร็จ ซึ่งเมื่อเทียบกับทีมระดับเดียวกันในฝั่งตะวันออกอย่าง ญี่ปุ่น ที่พาตัวเองเข้าสู่รายการนี้มาตั้งแต่ปี 1977 คงต้องบอกว่าฟุตบอลหญิงในตะวันออกกลางต้องใช้เวลานานถึง 45 ปี กว่าจะไล่ตามก้าวแรกของเอเชียตะวันออกได้ทัน

ทำไมฟุตบอลหญิงในตะวันออกกลางถึงใช้เวลาเดินทางนานขนาดนั้น ? คำตอบที่ง่ายและชัดเจนที่สุดคงหนีไม่พ้นเรื่องของ “ศาสนา” เป็นที่รู้กันดีว่าประเทศในตะวันออกกลางเลือกใช้กฎหมายที่ผ่านการตีความจากหลักศาสนาอิสลาม ซึ่งหลายครั้งที่กฎหมายเหล่านี้มีส่วนในการสร้างความไม่เท่าเทียมให้เกิดขึ้นในสังคมตะวันออกกลาง และเรื่องของผู้หญิงกับกีฬาก็ถือเป็นเรื่องหนึ่งในนั้น

แม้แต่ประเทศที่เพิ่งสร้างความภาคภูมิใจให้กับชาวตะวันออกกลางอย่าง อิหร่าน ที่สามารถเข้ามามีส่วนร่วมกับฟุตบอลหญิงชิงแชมป์เอเชีย 2022 ได้สำเร็จ พวกเขาก็ไม่ได้หัวก้าวหน้ากว่าเพื่อนบ้านเท่าใดนัก เพราะนับตั้งแต่ประเทศผ่านการปฏิวัติอิหร่านในปี 1979 ส่งผลให้เกิดการกวาดล้างแนวคิดที่ได้รับอิทธิพลจากตะวันตกแล้วนำหลักศาสนาอิสลามเข้ามาแทนที่

รัฐบาลอิหร่านออกกฎหมายห้ามไม่ให้ผู้หญิงเข้าชมกีฬาฟุตบอลในสนามแข่งขันได้อีกต่อไป โดยรัฐบาลกล่าวอ้างว่าเป็นการทำเพื่อไม่ให้ผู้หญิงได้เห็นพฤติกรรมอันไม่เหมาะสมของเพศชาย ซึ่งกฎหมายฉบับนี้นำมาสู่เสียงต่อต้านเป็นอย่างมากจากนานาชาติหรือแม้แต่ประชาชนบางส่วนในประเทศเอง จนนำมาสู่การสร้างภาพยนตร์เรื่อง (2006) ที่เล่าเรื่องของผู้หญิงที่อยากเดินทางเข้าชมทีมชาติอิหร่านลงเล่นฟุตบอลโลกรอบคัดเลือก โดยตัวหนังได้รับรางวัลจากเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติเบอร์ลิน ในปี 2006

ความไม่เท่าเทียมทางเพศเหล่านี้ส่งผลให้การพัฒนาวงการฟุตบอลหญิงไม่เคยอยู่ในสายตาของชาติตะวันออกกลาง กว่าอิหร่านจะเริ่มต้นตั้งลีกฟุตบอลหญิงของตัวเองได้สำเร็จก็ต้องรอถึงปี 2007 ซึ่งถ้ามองไปยังชาติมหาอำนาจในเอเชียตะวันออกอย่าง จีน และ ญี่ปุ่น ที่มีลีกฟุตบอลหญิงมาตั้งแต่ทศวรรษ 1980s จึงแทบเป็นไปไม่ได้เลยที่ชาติจากตะวันออกกลางจะแทรกตัวเข้ามาเป็นมหาอำนาจในวงการฟุตบอลหญิงเอเชียได้ (ส่วนผู้หญิงอิหร่านสามารถเข้าชมฟุตบอลในสนามเป็นครั้งแรกตั้งแต่ปี 2019 เป็นต้น

UFABETWIN

นี่จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้ความสำเร็จในวงการฟุตบอลหญิงเอเชียถูกผูกขาดอยู่กับทีมในภูมิภาคเอเชียตะวันออก เพราะไม่เพียงแต่ชาติฝั่งตะวันออกจะทุ่มเงินไปในการพัฒนาทีมเต็มอย่างที่ แต่ทีมฝั่งตะวันออกกลางเองก็มองข้ามวงการฟุตบอลหญิงมานานเกินไป เนื่องจากแนวคิดทางการเมืองของประเทศที่ปราศจากนโยบายหัวก้าวหน้า ซึ่งถ้ามองย้อนกลับไปยังจุดเริ่มต้นของฟุตบอลหญิงในเอเชียจริง ๆ ก็จะพบว่าการเปิดรับแนวคิดหัวก้าวหน้าสำคัญอย่างมากต่อการเติบโตของฟุตบอลหญิงในเอเชีย

ทุกวันนี้บางประเทศในตะวันออกกลางยังคงไม่ยอมรับการเล่นกีฬาของเพศหญิง เช่น อัฟกานิสถาน หลังขบวนการตาลีบันกลับมายึดครองประเทศอีกครั้งเมื่อปี 2021 ที่ผ่านมา ส่งผลให้เกิดการกวาดล้างผู้หญิงในวงการกีฬาอย่างหนัก นำมาสู่การลี้ภัยสู่ประเทศออสเตรเลียของชาวอัฟกานิสถานที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับวงการฟุตบอลหญิงในประเทศมากกว่า 75 คน

เงินรางวัลไม่ดึงดูดให้เกิดการแข่งขัน

หนึ่งในสาเหตุที่ทำให้ความสำเร็จในวงการฟุตบอลหญิงเอเชียอยู่กับแค่ไม่กี่ประเทศมาจากความแตกต่างของเงินรางวัลที่มากเกินไปของวงการฟุตบอลชายกับฟุตบอลหญิง ส่งผลให้หลายประเทศเลือกที่จะไม่พัฒนาฟุตบอลหญิงอย่างจริงจังแล้วทุ่มงบประมาณทั้งหมดไปกับวงการฟุตบอลชายแทน

ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคงหนีไม่พ้น ทีมชาติไทย หรือ ทัพชบาแก้ว ที่เคยประสบความสำเร็จเป็นเจ้าเอเชียมาตั้งแต่ปี 1983 แต่หลังจากความสำเร็จในครั้งนั้นกลับไม่มีการต่อยอดหรือทุ่มงบประมาณเพื่อรักษาความแข็งแกร่งของฟุตบอลหญิงทีมชาติไทยแต่อย่างใด ซึ่งในทางกลับกันฟุตบอลชายได้มีการทุ่มงบประมาณเพื่อพัฒนาทีมอยู่หลายครั้ง ไม่ว่าจะเป็น ยุคดรีมทีม หรือ ยุคปัจจุบันที่ได้ นวลพรรณ ล่ำซำ เข้ามานั่งแท่นผู้จัดการฟุตบอลชายทีมชาติไทย

การโยกย้ายมาให้ความสำคัญกับวงการฟุตบอลชายเป็นหลักของ นวลพรรณ ล่ำซำ แม้ “มาดามแป้ง” จะเคยนั่งแท่นผู้จัดการฟุตบอลหญิงทีมชาติไทยมาก่อนก็ไม่ใช่เรื่องแปลกหรือผิดปกติแต่อย่างใด เพราะถ้ามองไปยังรางวัลตอบแทนของฟุตบอลชิงแชมป์เอเชีย 2 รายการจะพบว่าการแข่งขันฟุตบอลหญิงจะได้ค่าตอบแทนที่น้อยจนน่าตกใจ และมันไม่ตอบแทนเงินลงทุนที่ทุ่มลงไปเลย

สำหรับฟุตบอลชาย ในการแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์เอเชีย หรือ เอเชียนคัพ เมื่อปี 2019 ที่ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ทั้ง 24 ทีมที่ผ่านเข้าสู่รอบสุดท้ายจะการันตีเงินรางวัล 2 แสนดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 6.6 ล้านบาท และเงินรางวัลจะเพิ่มขึ้นไปเรื่อย ๆ โดยตำแหน่งแชมป์ของทัวร์นาเมนต์ คือ กาตาร์ จะได้รับเงินรางวัล 5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 166 ล้านบาท และเมื่อรวมเงินรางวัลทั้งหมด เอเชียนคัพ 2019 จะมีเงินรางวัลสูงถึง 14.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือเกือบ 500 ล้านบาท

ส่วนการแข่งขันฟุตบอลหญิงชิงแชมป์เอเชียที่กำลังจะเริ่มต้นในปี 2022 นี้ ถือเป็นครั้งแรกที่ทางผู้จัดการแข่งขันจะมอบเงินรางวัลแก่ทีมที่เข้าร่วม เพื่อเป็น “แรงจูงใจ” ในการแข่งขัน ถือเป็นครั้งแรกในรอบ 47 ปี ที่ฟุตบอลรายการนี้จะมีเงินรางวัลจากการแข่งขัน ซึ่งจะมอบเงินรางวัลให้กับ 4 ทีมที่ผ่านเข้าสู่รอบรองชนะเลิศเท่านั้น

อีก 8 ทีมที่เหลือจะได้แค่ส่วนของค่าชดเชยการเดินทางและไม่ได้รับเงินรางวัลการันตีอะไรแม้จะมีส่วนกับการแข่งขันรายการนี้ ซึ่งเมื่อรวมเงินรางวัลทั้งหมดแล้ว ฟุตบอลหญิงชิงแชมป์เอเชีย 2022 มีเงินรางวัลทั้งสิ้น 1.8 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือเกือบ 60 ล้านบาท โดยทีมที่คว้าแชมป์จะได้รับเงินรางวัลเกินครึ่งของทั้งหมดคือ 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 33 ล้านบาท

ความแตกต่างตรงนี้คงพอจะทำให้เห็นภาพแล้วว่า ทำไมหลายชาติในเอเชียจึงไม่ยอมทุ่มงบประมาณในกับการพัฒนาวงการฟุตบอลหญิงในประเทศของตน เพราะในเมื่อเงินรางวัลในรายการฟุตบอลหญิงชิงแชมป์เอเชียกระจุกอยู่กับทีมที่ประสบความสำเร็จในระดับสูงสุดเท่านั้น การทุ่มเงินลงไปแล้วไม่สามารถแข่งขันกับขั้วอำนาจเดิมได้ จะเป็นการลงทุนที่เข้าข่ายได้ไม่คุ้มเสี่ยง และด้วยเหตุนี้ความสำเร็จในวงการฟุตบอลหญิงเอเชียจึงจำกัดอยู่กับทีมหน้าเดิม ๆ มาตลอด 20 ปี

ท้ายที่สุดแล้วคงต้องยอมรับว่าโลกฟุตบอลยุคปัจจุบันมีเรื่องของเงินมาเกี่ยวข้องค่อนข้างมาก หากฝ่ายจัดการแข่งขันยังไม่สามารถสร้างรางวัลของการแข่งขันฟุตบอลหญิงให้น่าดึงดูดใจเท่าฝั่งฟุตบอลชายได้ ความสำเร็จของวงการฟุตบอลหญิงในเอเชียก็คงกระจุกอยู่กับมหาอำนาจหน้าเดิม ๆ ต่อไปอีกนาน

UFABETWIN

UFABETWIN เทน ฮาก : ว่าที่กุนซือใหม่ แมนฯ ยูไนเต็ด ผู้ร้องขอ “สิทธิ์ขาด” แบบที่ไม่มีใครเคยได้

หากไม่มีอะไรผิดพลาดจากการรายงานของสื่อใหญ่หลายเจ้าในยุโรป เอริค เทน ฮาก จะกลายเป็นกุนซือคนใหม่ของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในซีซั่นหน้า

เฮดโค้ชในวัย 52 ปีคนนี้มีวิธีการทำงานแบบไหน เขาร้องขออะไรและนำเสนออะไรกับบอร์ดบริหารจนทำให้เขาอาจได้งานนี้ และสุดท้ายปัญหาใดที่เขาจะต้องเซอร์ไพรส์ที่ แมนฯ ยูไนเต็ด

กว่าจะมาถึงอาหยักซ์

เอริค เทน ฮาก อาจจะเป็นชื่อใหม่ที่ไม่คุ้นหูของแฟนบอลบางกลุ่ม ซึ่งอันที่จริงเเล้วก็ไม่ผิดนัก เพราะในบทบาทเฮดโค้ช เทน ฮาก นั้นมีประวัติการทำงานเพียงแค่ 10 ปีเท่านั้น ซึ่งถือว่าน้อยพอสมควรกับทีมที่ต้องการพลิกฟื้นคืนสู่ความยิ่งใหญ่อย่าง แมนฯ ยูไนเต็ด แถมงานที่ทำให้เขาเป็นที่รู้จักจริง ๆ ก็อยู่ในช่วงที่เขารับบทบาทกุนซือของ อาหยักซ์ อัมสเตอร์ดัม ในปัจจุบัน ซึ่งนับจนถึงตอนนี้ก็เพียงแค่ 5 ปีเท่านั้น

กุนซือวัย 52 ปีทำงานในบทบาทของโค้ชตั้งแต่ช่วงที่เขาเลิกเล่นฟุตบอลในปี 2002 เขาเริ่มต้นด้วยการคุมทีมทเวนเต้ ชุดยู-17 และ ยู-19 และใช้เวลาในช่วงนี้ไปทั้งหมด 4 ปีจนถึงปี 2006 เขาจึงเริ่มได้รับบทบาทเป็นผู้ช่วยโค้ชระดับทีมชุดใหญ่ของทเวนเต้ โดยคนที่ดึงเขามาทำงานด้วยคือ เฟร็ด รุทเทน และต่อมาจนถึงยุคของ สตีฟ แม็คคลาเรน ซึ่งเป็นทีมที่ดีที่สุดในรอบหลายปีของทเวนเต้ที่การันตีด้วยเเชมป์ดัตช์ลีกปี 2009-10 จากนั้นเส้นทางการเป็นกุนซือเต็มตัวครั้งแรกจึงเกิดขึ้นในปี 2012 กับทีมโก อเฮด อีเกิลส์ โดยคนแต่งตั้งเขาก็คือคนเดียวกับที่ผลักดันเขาให้ได้คุมทีมอาหยักซ์ นั่นคือ มาร์ค โอเวอร์มาร์ส นั่นเอง

นี่คือเส้นทางคร่าว ๆ ที่ใช้เวลา 10 ปีอยู่เบื้องหลังก่อนที่จะเริ่มมาทำงานเบื้องหน้า เอริค เทน ฮาก ว่าที่กุนซือคนใหม่ในฤดูกาลหน้าของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด คำถามคือเขามีวิธีการทำงานแบบไหน เหตุุใดเขาจึงเป็นผู้ถูกเลือก ?

สื่อหลายที่เรียกเขาว่า “นิว เป๊ป กวาร์ดิโอลา” แต่ถ้าจะพูดแบบนั้นมันก็อาจจะเกินไปหน่อย เพราะกุนซือระดับเป๊ปยากที่จะหาใครเทียบเคียงหากมองในแง่ของความสำเร็จ แม้เรื่องนี้อาจจะทำให้ใครหลายคนมองว่า เทน ฮาก โดนยกย่องเกินจริง ทว่าเจ้าตัวกลับเป็นคนพูดเองว่า เป๊ป กวาร์ดิโอลา คือกุนซือที่เปลี่ยนแนวทางและวิธีการคิดของเขามากที่สุด เรียกได้ว่าเป็นผู้มีอิทธิพลในการทำทีมคนสำคัญของ เทน ฮาก เลยก็ว่าได้

เรื่องของเรื่องคือในช่วงปี 2013 บาเยิร์น มิวนิค สโมสรเบอร์ 1 ของเยอรมัน มีการจ้าง เอริค เทน ฮาก เข้ามารับงานตำแหน่งเฮดโค้ชของทีมชุดสำรอง มองเผิน ๆ อาจเหมือนเป็นงานที่ไม่ได้ใหญ่โตอะไร … “ก็แค่ทีมสำรอง” แต่จริง ๆ แล้ว บาเยิร์น เป็นทีมที่มีปรัชญาฟุตบอล โครงสร้าง และแนวทางการทำทีมทุกชุดให้เกี่ยวพันกัน ทีมทุกชุดจะถูกฝึกสอนให้เป็นทีมที่มีวิธีการเล่นที่เน้นเกมรุก เน้นการครอบครองบอล และแน่นอนที่สุดคือการเล่นในแบบที่เรียกว่า เคาน์เตอร์ เพรสซิ่ง หรือการเสียบอลเมื่อไรต้องรุมแย่งบอลกลับมาให้เร็วที่สุด

 

UFABETWIN

ที่ บาเยิร์น มิวนิค ชุดสำรอง เทน ฮาก ได้มีโอกาสร่วมงานกับ เป๊ป กวาร์ดิโอลา ที่เป็นกุนซือของทีมชุดใหญ่ในเวลานั้น ทั้งคู่ติดต่อและพูดคุยกันเป็นประจำ มีการประชุมทีมกันทุกเดือนเพื่อให้ภาพรวมของทีมชุดสำรองกับทีมชุดใหญ่สอดคล้องกัน และนั่นก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ เทน ฮาก บอกว่าเขารู้สึกเหมือนได้เปิดโลกใหม่ในฐานะกุนซือแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

“ทุกวันที่ได้ร่วมงานกับ เป๊ป ที่บาเยิร์น คือช่วงเวลาที่ผมตั้งตารอ เขาเป็นแรงบันดาลใจให้กับผมอย่างแท้จริง” เทน ฮาก กล่าวถึงลูกพี่เก่าที่เคยร่วมงานกัน

“ผมเรียนรู้จาก เป๊ป มาเยอะมาก ปรัชญาการทำทีมของเขานั้นสุดยอดแบบไม่มีข้อโต้แย้ง สิ่งใดก็ตามที่เขาทำมาตั้งแต่ตอนที่อยู่กับ บาร์เซโลน่า, บาเยิร์น หรือแม้กระทั่งตอนนี้กับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ คือวิธีการที่เราสามารถใช้คำว่าเหนือจินตนาการได้เลย”

“วิธีการเล่นเกมรุกที่น่าดึงดูดคือสไตล์การเล่นที่นำมาซึ่งชัยชนะมากมาย ผมเฝ้าดูการฝึกซ้อมของเขาทุก ๆ วัน และมันเป็นโครงสร้างที่ผมพยายามนำมาปรับใช้กับงานของผมที่อาหยักซ์อย่างแท้จริง” เทนฮาก กล่าว

การทำงานที่บาเยิร์นทีมสำรองเหมือนเป็นการปูพื้นฐานการเป็นโค้ชที่ดีให้กับ เทน ฮาก เลยก็ว่าได้ จากการให้สัมภาษณ์ข้างต้น สิ่งที่ เทน ฮาก พยายามจะบอกคือวิธีการเล่นของ เป๊ป กวาร์ดิโอลา อย่าง ติกิ-ตากา ไม่ได้สำคัญเท่ากับวิธีการทำงานในฐานะกุนซือ นั่นคือนอกจากการดึงศักยภาพของนักเตะในทีมออกมาให้ได้ สอนให้นักเตะของตัวเองเข้าใจวิธีการเล่นที่เขาต้องการจะสื่อ … คือการเชื่อมั่นในการศึกษารายละเอียด สถิติ และวิธีการของทีมคู่แข่ง เพราะสิ่งเหล่านี้จะทำให้ทีมของเขานำหน้าคู่แข่ง 1 ก้าวเสมอ…

รู้เขารู้เรา

จะมีประโยชน์อะไรหากมีความรู้ท่วมหัวแต่ไม่สามารถถ่ายทอดสิ่งนั้นไปถึงลูกทีมได้ ? นั่นคือวิธีการคิดเบื้องต้นของ เทน ฮาก ซึ่งเรื่องนี้เขาจริงจังถึงขั้นต้องลงเรียนในสาขาการจัดการในระดับปริญญาโท เมื่อปี 2014 ซึ่งลูกทีมของเขาทุกคนบอกตรงกันว่าหลังจากการซ้อมของ เทน ฮาก จะมีการสรุปงานและให้แนวคิดกับนักเตะทุกคนเพื่อจะได้ไม่เหลือคำถามอะไรให้สงสัย ทุกคนต้องเข้าใจจุดมุ่งหมายของการซ้อมในแต่ละวันให้ได้ ไม่อย่างนั้นการซ้อมจะไม่ถือว่าเสร็จสมบูรณ์

มาร์นิกซ์ โคลเดอร์ อดีตลูกทีมของ เทน ฮาก เล่าถึงเรื่องการฝึกซ้อมสมัยทำงานร่วมกันว่า “เบื้องหลังการซ้อมทุกครั้งชัดเจนและทุกต้องได้ข้อคิดเสมอ เทน ฮาก เป็นโค้ชประเภทที่พยายามจะทำให้นักเตะในทีมดีขึ้นในแง่ของแทคติก ยุทธวิธีการเล่น และเรื่องของกายภาพ”

“เขาเคยบอกกับผมในวันที่ผมขอวันหยุดเนื่องจากติดธุระว่า มาร์นิกซ์ การซ้อมทุกครั้งมันสำคัญมากนะเมื่อคุณทำงานกับผม จากนั้นผมก็รู้ทันทีว่าผมต้องทำงานกับโค้ชประเภทไหน”

โคลเดอร์ ให้สัมภาษณ์ยาวกว่านี้มากในการพูดคุยกับสื่ออังกฤษอย่าง แต่หลัก ๆ แล้วสิ่งที่โคลเดอร์พยายามจะบอกนั่นคือวิธีการของ เทน ฮาก ที่เป็นคนเข้มงวด ไม่ผ่อนปรน และจริงจังกับการซ้อม ชอบให้นักเตะในทีมทำสิ่งเดิมซ้ำ ๆ จนกว่าจะสามารถทำได้โดยอัตโนมัติโดยไม่ต้องมีใครมาบอก

“5-6 สัปดาห์แรกของการพรีซีซั่นในทีมของ เทน ฮาก ผมยอมรับจริง ๆ ว่าผมคิดว่าเขาเกลียดขี้หน้าผม เพราะเขาชอบตะโกนและบอกว่าผมกำลังทำผิด ผมต้องทำมากกว่านี้ ยิ่งกว่าที่เขากำลังเห็น ผมเลยเข้าไปหาเขาในห้องทำงาน และเขาก็อธิบายกลับมาว่า”

“ผมจำเป็นต้องทำ เพราะคุณเป็นนักเตะประเภทที่พอใจกับการทำงานเพียงแค่ 80% ของตัวเอง ผมอยากทำให้คุณโกรธ ทำให้คุณก้าวร้าวเพื่อเปลี่ยนจาก 80% เป็น 90% หรือ 100%”

ในการทำงานทุก ๆ ที่ เทน ฮาก พยายามเข้าใจลักษณะนิสัยของนักเตะแต่ละคนในทีม เพื่อทำให้เขาได้รู้วิธีที่จะพูดกับนักเตะแต่ละคน บางคนชอบคำชม บางคนชอบโดนด่า และบางคนอาจจะไม่ต้องสอนอะไรเลย จากนั้นก็เป็นการทำให้ทุกอย่างในการซ้อมออกมาให้มีคุณภาพที่สุด ในช่วงที่เขาทำทีมเล็ก ๆ อย่าง โก อเฮด อีเกิลส์ นั้น เทน ฮาก ถึงขั้นต้องวัดความสูงหญ้าในสนามซ้อมเอง และบอกให้คนตัดหญ้าปรับระดับความสูงของหญ้าตามที่เขาต้องการ

เมื่อทำในส่วนของตัวเองได้ดีแล้ว จากนั้นจึงเป็นวิธีการ “รู้จักฝั่งตรงข้าม” แม้ทีมของ เทน ฮาก จะเป็นทีมที่เล่นเกมรุก ชอบครองบอล และให้นักเตะในทีมวิ่งให้เยอะ ซึ่งทั้งหมดนี้สะท้อนผ่านผลงานของ อาหยักซ์ ในการเล่นเกมลีกมาตลอดหลายปีที่เล่นยังไงก็ชนะแทบจะทุกครั้ง แถมยังยิงเยอะยิงขาดเป็นประจำ … แม้เรื่องนี้อาจเกิดจากคุณภาพของนักเตะทีมอื่น ๆ ในลีกที่ตามหลัง อาหยักซ์ พอสมควร แต่ ดูซาน ทาดิช กองหน้าของอาหยักซ์ ชุดเเชมป์ลีก 2 สมัย ก็ยืนยันว่าคุณภาพของนักเตะเป็นแค่ส่วนหนึ่ง แต่สิ่งที่ทำให้อาหยักซ์ไร้เทียมทานคือการศึกษาคู่แข่งและสั่งการบ้านให้นักเตะแต่ละตำแหน่งในทีมไปศึกษาเพิ่มเติมต่างหาก นี่คือวิถีของการนำหน้า 1 ก้าวของอาหยักซ์ชุดปัจจุบันที่แท้จริง

“โค้ชของเราเป็นคนที่เยี่ยมมาก” กัปตันของอาหยักซ์กล่าว “เขาเป็นหนึ่งในคนที่มีโอกาสจะเป็นโค้ชที่ดีที่สุดในโลกเพราะวิธีการของเขา เขาเป็นคนบ้าบอล หมกมุ่นอยู่กับฟุตบอลได้ทั้งวัน ผมมั่นใจว่าในหัวเขาคิดถึงแต่เรื่องฟุตบอลตลอดเวลาแน่นอน ผมมั่นใจแบบนั้น … และถ้าคุณอยากจะให้ทีมของคุณเป็นทีมที่ยอดเยี่ยม คุณก็ต้องการคนแบบนี้แหละ”

“เทน ฮาก มีวิธีแก้ปัญหาและการสื่อความต้องการของเขาให้นักเตะในทีม บางครั้งเวลาเขาเจอกับสิ่งต่าง ๆ ที่ไม่ได้เป็นไปอย่างที่คิดเขาก็จะหาวิธีแก้ไขมันได้ วิธีการทำงานแบบ เทน ฮาก คือการทำให้ผู้เล่นในทีมรู้สึกเหมือนกับว่าเรานำหน้าคู่ต่อสู้ 1 ก้าวเสมอ … เขาคือผู้นำทางความคิด ทางแทคติก และสามารถสื่อความให้กับนักเตะในทีมได้” ทาดิช กล่าว

งานใหญ่ที่รออยู่

หากไม่มีอะไรผิดพลาดจากการรายงานของสื่อใหญ่หลายเจ้าในยุโรป เอริค เทน ฮาก จะกลายเป็นกุนซือคนใหม่ของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในซีซั่นหน้า … ในช่วงเวลาที่ทีมไร้ความสำเร็จมายาวนาน ทุกอย่างล้วนมีเหตุผล กุนซือโปรไฟล์สวย ๆ มีความสำเร็จการันตีหลายคนมาที่นี่ก่อน เทน ฮาก และจากไปอย่างผู้แพ้ ยกตัวอย่างเช่น หลุยส์ ฟาน กัล หนึ่งในคนที่ เทน ฮาก ชื่นชอบ, โชเซ่ มูรินโญ่ และล่าสุดอย่าง ราล์ฟ รังนิก ที่แม้จะยังอยู่ในตำแหน่งแต่ก็แทบไม่มีทิศทางดี ๆ เกิดขึ้นกับทีมชุดปัจจุบันเลย

 

UFABETWIN

 

สิ่งที่ ฟาน กัล, มูรินโญ่ และ รังนิก พูดเหมือนกัน ๆ ถึงปัญหาของ แมนฯ ยูไนเต็ด คือพวกเขาไม่ได้รับการสนับสนุนที่ดีจากบอร์ดบริหารในแง่ที่ไม่ใช่เรื่องของการทุ่มเงินซื่้อนักเตะ แต่มันเป็นเรื่องของสิทธิ์ในการตัดสินใจ บอร์ดบริหารของยูไนเต็ดไม่มอบดาบอาญาสิทธิ์ให้กับเฮดโค้ชของทีม เรื่องนี้เราเห็นกันมาไม่น้อยจากอดีตถึงปัจจุบัน เช่น สถานการณ์ระหว่าง ป็อกบา กับ มูรินโญ่ ที่บอร์ดเลือกถือหางนักเตะมากกว่าโค้ช และที่สำคัญคือการซื้อตัวนักเตะโดยไม่ปรึกษาเฮดโค้ชแบบที่ ฟาน กัล เจอ ซึ่งสิ่งนี้ตรงกับสิ่งที่ รังนิก เพิ่งออกมาตัดพ้อและแนะนำให้ทีมเปลี่ยนแปลงในช่วงต้นเดือนเมษายนที่ผ่านมา

รังนิก ได้แนะนำไปยังบอร์ดบริหารของทีม 4 ข้อ ซึ่งเป็นสิ่งที่ทีมยังขาด นั่นคือการเลือกนักฟุตบอลเข้าสู่ทีมให้ตรงกับสไตล์การทำงานและปรัชญาฟุตบอลของโค้ช, การมีแผนงานระยะยาว เลือกวิธีการเล่นให้ชัด และหา  ของทีมให้เจอว่าจะเล่นด้วยแนวทางไหน จะครองบอล, ตั้งรับ, โต้กลับเร็ว หรือวิ่งปะทะฉะด้วยความฟิต จะเอาแบบไหนก็ต้องเอาสักทางและไปในสายนั้นให้สุดไม่ใช่การเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา, มองนักเตะเรื่องอื่นนอกจากฝีเท้านั่นคือการอ่านไปถึงทัศนคติ คาแร็กเตอร์ ความดุดันเอาจริงเอาจังมากกว่าที่เป็นอยู่ และข้อสุดท้ายคือการให้เวลาและประเมินงานแต่ละไตรมาสอย่างจริงจัง เพราะทุกความสำเร็จไม่มีทางลัด…

4 ข้อนี้เป็นเรื่องใหญ่มากที่ ยูไนเต็ด ประสบปัญหามาตลอด ซึ่งเป็นสิ่งที่ตรงข้ามกับสิ่งที่ เทน ฮาก ได้รับในช่วงที่เขาคุมทีมอาหยักซ์มาโดยตลอด ที่อาหยักซ์ เทน ฮาก สามารถตัดสินใจเองได้ 100% เรื่องการจัดการทีมของเขา นักเตะคนไหนที่งอแง และมีปัญหาเรื่องทัศนคติหรือวินัย เทน ฮาก มีสิทธิ์ลงโทษได้โดยไม่ต้องปรึกษาใคร เช่นครั้งหนึ่งที่ เดวิด เนเรส ปีกดีกรีทีมชาติบราซิลของทีม เถียงกับเขาเรื่องของทรงผมและจบประโยคว่า “อย่าสนใจทรงผมของผมเลย เอาเวลาไปดูทรงผมของคุณเถอะ” ไม่ว่าเนเรสจะพูดเล่นหรือพูดจริง แต่สิ่งที่ เทน ฮาก ทำคือเขาดรอปเนเรสไปเป็นตัวสำรอง 2 เกมรวด หลังจากนั้นไม่นานเนเรสก็หลุดเป็นตัวสำรองของทีมผ่านนักเตะที่ เทน ฮาก เลือกเข้ามาเองอย่าง แอนโธนี่ ที่ปัจจุบันติดทีมชาติบราซิลชุดใหญ่แทนเนเรสไปแล้วด้วย

การซื้อตัว แอนโธนี่ เข้ามาถือเป็นอีกหนึ่งสิ่งที่สะท้อนให้เห็นว่า เทน ฮาก เองก็ต้องการสิทธิ์และการมีส่วนร่วมในตลาดซื้อขายของทีม คนไหนควรซื้อ คนไหนควรขาย เขาควรเป็นคนที่ได้ตัดสินใจเป็นคนสุดท้าย และจะดีที่สุดคือได้รับสิทธิ์ขาดนั้น นอกจากรายของแอนโธนี่แล้ว เทน ฮาก ยังเคยยื่นคำร้องกับบอร์ดบริหารของอาหยักซ์เพื่อซื้อนักเตะอายุแตะ 30 มาเสริมทีมมาแล้ว ครั้งนั้นเขาบอกว่า แม้การซื้อนักเตะอายุมากจะขัดกับนโยบายการทำทีม แต่ทีมที่เต็มไปด้วยดาวรุ่งอย่าอาหยักซ์จำเป็นจะต้องมีนักเตะที่มีประสบการณ์เข้ามา ซึ่งท้ายที่สุดเขาก็ได้ตัว ดูซาน ทาดิช และ ดาวี่ คลาสเซ่น ซึ่งทั้งสองคนก็กลายเป็นกำลังสำคัญของทีมมาถึงทุกวันนี้

ยูไนเต็ด มีนักเตะที่ชื่อดังกว่าฝีเท้ามากมาย ณ เวลานี้ หาก เทน ฮาก เห็นว่าใครเป็นนักเตะที่ไม่สามารถทำเพื่อทีมของเขาได้ เขาจะมีสิทธิ์ตัดสินใจปล่อยนักเตะคนนั้นออกไปหรือไม่ ? นี่คือคำถามที่น่าเป็นห่วงสำหรับกุนซือที่ไม่ได้มีบารมีมากมายอย่างเขา เพราะเรื่องของจิตวิทยา การตัดสินใจ และการปกครองทีม ก็มีความสำคัญไม่ต่างกับเรื่องของแทคติก การฝึกซ้อม และผลการแข่งขัน

เทน ฮาก เคยพูดถึงทีมที่ดีในอุดมคติของเขาไว้ว่า “ทีมจะเป็นทีมได้ไม่ใช่แค่นักเตะ 11 คนในสนาม แต่หมายถึงทุกคนต้องเต็มใจเสียสละตัวเองเพื่อช่วยเหลือเติมเต็มศักยภาพทีมโดยรวม”

จากการเปิดเผยของสื่ออย่าง ได้เล่าว่า เทน ฮาก พยายามจะสื่อแบบนี้กับบอร์ดบริหารของ แมนฯ ยูไนเต็ด เช่นกันในช่วงของการสัมภาษณ์งานในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา โดยสิ่งที่ เทน ฮาก นำเสนอและร้องขอคือ

1. ระยะเวลาการสร้างโครงสร้างของทีมที่เขาขอเวลาการทำงานไว้ที่ 5 ปี

2. เทน ฮาก ชี้จุดอ่อนว่า ยูไนเต็ด มีนักเตะที่มีศักยภาพความฟิตต่ำมาก อยู่ห่างไกลจากทีมระดับแถวหน้าของยุโรป และเขาต้องการเปลี่ยนแปลงสิ่งนี้

3. รายชื่อนักเตะที่เขาอยากจะได้มาอยู่ในทีม โดยมีกลุ่มนักเตะอาหยักซ์อยู่ในลิสต์นักเตะที่เขาต้องการ

ทั้ง 3 ข้อที่ เทน ฮาก ร้องขอคือปัญหาที่ ยูไนเต็ด ประสบพบเจอมาตลอด … อย่างน้อย ๆ มันก็แสดงให้เห็นว่า เทน ฮาก มองเห็นจุดอ่อนและอยากจะแก้ไขปัญหาที่ซ้ำซากนี้ตั้งแต่ยังไม่เริ่มงาน อย่างไรก็ตามทุกอย่างไม่ได้ขึ้นอยู่กับเขาคนเดียว หากยูไนเต็ดยังยึดอยู่กับระบบการบริหารทีมที่โค้ชไม่ได้มีสิทธิ์ขาดเหมือนกับที่ผ่านมา สิ่งที่ เทน ฮาก ร้องขอก็คงเป็นเรื่องยากที่จะเกิดขึ้น

ไม่ต้องพูดถึงการท้าชิงทีมอย่าง แมนฯ ซิตี้ หรือ ลิเวอร์พูล ที่ติดปีกบินไปไกลแล้ว เทน ฮาก ต้องต่อสู้กับปัญหาเชิงโครงสร้างของทีมเสียก่อน … เรื่องอื่นค่อยว่ากัน

ที่สุดเเล้วทั้งหมดนี้เป็นเรื่องที่เราจะต้องมารอคำตอบกันในอนาคตว่า แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด จะเปลี่ยนแปลงแล้วยอมรับหรือไม่ว่าตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมาพวกเขาทำผิดพลาด และตั้งใจจะแก้ไขมันให้ถูกต้องในยุคของ เอริค เทน ฮาก ?

UFABETWIN

UFABETWIN คัดแต่หัวกะทิ : ระบบปั้นไม่ได้ก็ขายทำเงินอันเลื่องชื่อของ “เชลซี”

เชลซี อาจจะมีฉายาว่า สิงห์ไฮโซ หรือ ทีมเศรษฐีบุญทุ่ม แล้วแต่คนจะเรียก นั่นคือชื่อที่ติดตัวพวกเขามาตั้งแต่ยุคที่ โรมัน อบราโมวิช เป็นเจ้าของทีม

อย่างไรก็ตาม ภายใต้การทุ่มซื้อนักเตะระดับโลก กลับมีอีกระบบที่เติบโตขึ้นพร้อมๆกัน นั่นคือ ระบบการปั้นนักเตะแล้วขายที่ทำกำไรได้มากกว่าใครหลายคนคิด

Main Stand ขอพาไปพบเรื่องราวระบบเยาวชนและการคัดนักเตะหัวกะทิของ เชลซี ที่ทำให้สโมสรแห่งนี้ยังคงมีตัวเลขในบัญชีเป็นสีเขียว และยังสามารถติดลมบนได้นานนับ 20 ปี

การเปลี่ยนแปลงที่ค็อบแฮม

นับตั้งแต่เชลซีถูกเทคโอเวอร์โดย โรมัน อบราโมวิช ในปี 2003 สโมสรแห่งนี้ถูกรู้จักกันในฐานะทีมเศรษฐีที่พร้อมทุ่มไม่อั้นซื้อตัวนักเตะระดับแถวหน้าของโลกเพื่อเป็นหนทางสู่แชมป์ และพวกเขาก็ทำสำเร็จได้ภายในเวลาแค่ 2 ปี เมื่อ โชเซ่ มูรินโญ่ กุนซือไฟแรง (ในเวลานั้น) เข้ามาพร้อมกับนักเตะฝีเท้าดีมากมาย

มูรินโญ่ ได้ประชุมกับ อบราโมวิช และทั้งคู่มีความเห็นตรงกันว่า พวกเขาไม่พอใจกับสนามฝึกซ้อมของทีมมากนัก และมันจะดีกว่านี้มาก หากสโมสรลงทุนเพื่อผลประโยชน์ระยะยาว นั่นคือการสร้างศูนย์ฝึกซ้อมและศูนย์

พัฒนาเยาวชนเป็นของตัวเอง จนกระทั่งโครงการดังกล่าวได้เริ่มขึ้นและถูกตั้งชื่อว่า “ศูนย์ฝึกค็อบแฮม” ที่เปิดใช้งานในปี 2005 สำหรับทีมชุดใหญ่ และจากนั้นอีก 2 ปีก็มีการต่อเติมและใส่รายละเอียดต่างๆแบบครบวงจร พร้อมให้นักเตะตั้งแต่ชุดเยาวชนถึงชุดใหญ่ได้ใช้งานอย่างเต็มประสิทธิภาพ

เรียกได้ว่าจากปี 2007 เป็นต้นไป ค็อบแฮม จะเป็นรังสำหรับนักเตะเชลซีตั้งแต่รุ่นอคาเดมีจนถึงตอนที่ขึ้นสู่ทีมชุดใหญ่ เนื่องจากมีการลงมติกันว่า การรวมกันอยู่ในที่เดียวจะทำให้เกิดประโยชน์หลายทาง นักเตะดาวรุ่งจะได้เห็น

รุ่นพี่เป็นแรงบันดาลใจ ขณะที่โค้ชจากทีมชุดต่างๆก็ได้เห็นเด็กหลายๆคนที่กำลังรอวันขึ้นชั้นขยับรุ่นอายุแบบชัดๆด้วยตาตัวเอง

การที่เชลซีสร้างศูนย์ฝึกค็อบแฮมนั้นถือว่าเป็นการเริ่มต้นการเปลี่ยนแปลงของสโมสรนี้อย่างแท้จริง เพราะค็อบแฮมถือเป็นศูนย์ฝึกที่ได้มาตรฐานระดับโลก การฝึกซ้อมที่นี่ช่วยให้นักเตะเยาวชนของเชลซีได้ฝึกซ้อมด้วยอุปกรณ์และเทคโนโลยีที่ยอดเยี่ยม ซึ่งช่วยเพิ่มโอกาสที่นักเตะจะทำผลงานได้ดียิ่งขึ้นกว่าเดิม

สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าการมีสนามซ้อมและศูนย์ฝึกที่มีคุณภาพระดับโลกแล้ว เชลซียังได้ลงทุนเกี่ยวกับนักเตะเยาวชนโดยเฉพาะ หลังจากสร้างศูนย์ฝึกเสร็จ พวกเขาเดินหน้ากวาดนักเตะดาวรุ่งฝีเท้าดีที่อายุไม่ถึง 18 ปีจากทั่วยุโรปเข้ามาไว้ในทีมเยาวชนของสโมสร และเมื่อนักเตะเหล่านี้อยู่กับทีม

เยาวชนจนครบ 3 ปี พวกเขาจะถูกเปลี่ยนสถานะให้กลายเป็นนักเตะจากศูนย์ฝึกของสโมสรภายใต้กฎของพรีเมียร์ลีก ในช่วงแรกมีนักเตะที่เข้ากรณีนี้หลายคนทั้ง ซาโลมง กาลู, ฟาบิโอ บอรินี่, เจฟฟรีย์ บรูม่า, ไรอัน เบอร์ทรานด์ รวมถึง โรเมลู ลูกากู

เชลซีรู้ดีว่าการมีศูนย์ฝึกที่ดีก็ยังไม่เพียงพอที่จะสร้างวัตถุดิบชั้นดีในพริบตา เพราะนักเตะที่จะใช้งานศูนย์ฝึกค็อบแฮมที่ทุ่มทุนสร้างได้คุ้มที่สุดคือนักเตะที่อยู่กับสโมสรมาตั้งแต่ยังเด็กและได้เติบโตอย่างเป็นขั้นเป็นตอน ซึ่งเรื่องเหล่านี้ต้องใช้เวลาพอสมควร นั่นจึงทำให้เชลซีในช่วงหลังปี 2008 เป็นต้น

มาเต็มไปด้วยนักเตะในทีมชุดเยาวชนที่ถูกปล่อยยืมไปยังสโมสรต่างๆมากมาย หลายคนไม่สามารถกลับมาชิงพื้นที่ในทีมชุดใหญ่ของเชลซีได้ และนโยบายนี้ก็ทำให้เชลซีถูกมองว่าเป็นทีมที่ไม่เคยให้โอกาสนักเตะดาวรุ่งของตัวเองอยู่ดี

 

UFABETWIN

 

ปัญหาที่ตามมา การซื้อนักเตะจากอคาเดมีของทีมอื่นๆมาใช้ในศูนย์ฝึกตัวเองไม่ค่อยได้ผลนักสำหรับเชลซี พวกเขาใช้กลยุทธ์ระบายนักเตะในทีมเยาวชนจำนวนมากด้วยการปล่อยยืมตัวไปยังสโมสรต่างๆ โดยเฉพาะทีมพันธมิตรอย่าง วิเทสส์ ในลีกดัตช์ ที่บางปีแทบจะยกนักเตะเยาวชนของเชลซีไปครึ่งทีมเลยก็มี

โยฮันส์ สปอร์ ผู้อำนวยการด้านกีฬาของวิเทสส์ ได้พูดคุยกับ ถึงเรื่องดังกล่าวว่า “เจ้าของทีมทั้งสองสโมสรมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน (อบราโมวิช และ วาเลรีย์ โอฟ) นั่นคือจุดเริ่มต้นของการเจรจากันระหว่าง 2 สโมสร”

จุดนี้ทำให้นักเตะเยาวชนของเชลซีมีเกมระดับสูงให้ลงเล่นเพื่อสร้างประสบการณ์แน่นอน แม้ที่สุดแล้วนักเตะเหล่านี้จะดีไม่พอสำหรับทีมชุดใหญ่ แต่พวกเขาก็ทำกำไรจากการขายและการปล่อยยืมตัวนักเตะเหล่านี้ได้

อยู่ดี เพราะในช่วงที่ปล่อยยืมตัว สโมสรที่ยืมนักเตะจะต้องจ่ายค่าเหนื่อยให้กับนักเตะคนนั้นๆตามที่ทั้งสองฝ่ายตกลงกันไว้ ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่เชลซีได้รับประโยชน์เต็มๆ ในช่วงที่ดาวรุ่งลูกหม้อของพวกเขายังไม่พร้อมใช้งาน

นับตั้งแต่เชลซีใช้โมเดลนี้ พวกขายนักเตะที่ไม่เคยและอาจจะเคยเล่นให้ทีมชุดใหญ่น้อยมากได้มากมาย เช่น เคนเน็ธ โอเมรัว, มาร์โก ฟาน กิงเคล, พาทริค ฟาน อานโฮลท์, โทมัส คาลาส, ลูคัส เปียซอน, ธอร์ก็อง อาซาร์, แพทริก แบมฟอร์ด หรือแม้กระทั่ง เควิน เดอ บรอยน์

นักเตะเหล่านี้ทำเงินได้จริง แต่ปัญหาคือเชลซียังคงประสบปัญหาเรื่องการส่งชื่อโควตานักเตะโฮมโกรนในแต่ละปี เพราะมีนักเตะที่มาจากทีมเยาวชน

น้อยมาก พวกเขาถูกกดดันอยู่เนืองๆ เนื่องจากนับตั้งแต่ที่ผลักดัน จอห์น เทอร์รี่ ขึ้นมาเล่นในทีมชุดใหญ่ในช่วงปลายยุค 90s เชลซีก็แทบไม่มีนักเตะคนไหนที่ขึ้นมาอยู่ในทีมชุดใหญ่เต็มตัวได้เลย

คำวิจารณ์เหล่านั้นไม่ได้เกิดขึ้นแค่กับแฟนบอลทีมอื่นหรือจากสื่อเท่านั้น เพราะแม้แต่แฟนเชลซีบางกลุ่มเองก็คิดเช่นนั้น แม้พวกเขาจะยืนยันว่าความสำเร็จและการมีนักเตะระดับโลกอยู่ในทีมคือสิ่งที่ยอดเยี่ยม แต่การเปิด

โอกาสให้นักเตะท้องถิ่นก็เป็นสิ่งที่จำเป็นต้องทำไม่แพ้กัน เพราะนักเตะท้องถิ่นก็เหมือนตัวแทนของแฟนบอลที่มีคาแร็กเตอร์ที่ชัดเจน พวกเขาเป็นคนที่จะสู้ตายเพื่อทีมและมีอารมณ์ร่วมไม่ต่างจากแฟนบอล

ที่สุดแล้วคำวิจารณ์ที่กล่าวมาก็เริ่มเบาบางลงไป เมื่อถึงวันหนึ่งที่นักเตะชุดที่อยู่กับทีมมาตั้งแต่กระบวนการสร้างศูนย์ฝึกค็อบแฮมเริ่มเติบโต ปัญหาดังกล่าวก็ถูกแก้ไขอย่างรวดเร็ว

ยุคทองของเด็กปั้น

หลังจากปี 2014 หรือ 7 ปีหลังจากสร้างค็อบแฮม ผลผลิตของเชลซีก็ผลิดอกออกผล ทีมเยาวชนของเชลซีแข็งแกร่งมากเมื่อถึงตอนนั้น พวกเขาคว้าทั้งแชมป์เอฟเอ ยูธ คัพ ที่เป็นรายการที่การันตีถึงคุณภาพทีมอคาเดมีของแต่ละสโมสรในฟุตบอลอังกฤษได้ถึง 5 สมัยติดต่อกัน นอกจากนี้ นักเตะชุดเดียวกันนี้ยังทำผลงานเขย่ายุโรปด้วยการคว้าแชมป์ยูฟ่า ยูธ ลีก มาครองอีก 1 สมัย

นักเตะที่อยู่ในชุดนั้นประกอบด้วย ทาริค แลมพ์ตีย์, เทรฟโวห์ ชาโลบาห์, รูเบน ลอฟตัส-ชีค, คัลลัม ฮัดสัน-โอดอย, แทมมี่ อับราฮัม, ฟิกาโย โทโมรี, มาร์ค เกฮี, อันเดรียส คริสเตนเซ่น รวมถึง 2 ตัวหลักของสโมสร ณ เวลานี้อย่าง เมสัน เมาท์ และ รีซ เจมส์

กลุ่มนักเตะเหล่านี้ค่อยๆเติบโตและสอดแทรกเข้ามามีโอกาสในทีมชุดใหญ่ในแต่ละปี จนถึงปี 2018 ที่เชลซีโดนโทษแบนห้ามซื้อนักเตะ พวกเขาก็ได้โอกาสแสดงศักยภาพของนักเตะจากศูนย์ฝึกค็อบแฮมอย่างจริงจัง นำโดย

การทำทีมของ แฟรงก์ แลมพาร์ด และทีมที่เต็มไปด้วยนักเตะจากศูนย์ฝึกของตัวเองชุดนี้ก็ถูกการันตีคุณภาพด้วยการคว้าแชมป์ยูฟ่า แชมเปียนส์ ลีก ในปี 2021 โดยกุนซือผู้หยิบจับวัตถุดิบที่แลมพาร์ดปั้นรอเอาไว้มาใช้งานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพอย่าง โธมัส ทูเคิ่ล

ทูเคิ่ลเองยอมรับว่านักเตะดาวรุ่งของทีมหลายคนมีแวว ทุกคนจะได้รับโอกาสหากพวกเขาเหล่านั้นพิสูจน์ว่าตัวเองดีพอ และเขาก็ชอบทีมที่ผสมกันระหว่างนักเตะระดับโลกกับนักเตะท้องถิ่น เพราะทั้งสองอย่างจะส่งเสริมเติมเต็มซึ่งกันและกันเป็นอย่างดี

 

UFABETWIN

 

“ประตูสำหรับทีมชุดใหญ่เปิดกว้างอยู่เสมอ และมันจะเป็นแบบนั้นอยู่ตลอด ผมชอบนะ และผมเชื่อว่าแฟนบอลก็ชอบเหมือนกัน การผสมผสานระหว่างนักเตะชื่อดังจากต่างประเทศที่มีบุคลิกชัดเจนและนักเตะจากทีมอคาเดมีคือสิ่งที่ทำให้สโมสรแห่งนี้มีความพิเศษ”

“ถ้าคุณได้ดูรูปตอนที่พวกเราชูถ้วยแชมเปียนส์ ลีก จะมีนักเตะหลายคนจากอคาเดมีในภาพดังกล่าว นี่ล่ะที่ทำให้มันมีความพิเศษที่สมควรเป็นแบบนี้ มันเป็นเรื่องของการผสมผสานที่ลงตัวของเรา”

ข้อดีของค็อบแฮมไม่ได้จบแค่การเติมเต็มสิ่งที่ผู้จัดการทีมและแฟนๆเชลซีอยากเห็นเท่านั้น เพราะในอีกด้านหนึ่ง พวกเขาก็ต้องยอมรับความจริงว่า เมื่อนักเตะบางคนได้โอกาสและยังดีไม่พอสำหรับทีมชุดใหญ่ เชลซีก็พร้อมจะขายนักเตะเหล่านั้นออกไปในทันที และในส่วนนี้เชลซีก็ทำเงินได้มหาศาลจากการ “ปั้นแล้วขาย”

ตั้งแต่ฤดูกาล 2017-18 จนถึงปี 2022 นี้ เชลซีได้เงินจากการขายนักเตะที่พวกเขาคิดว่าดีไม่พอสำหรับทีมชุดใหญ่รวมเป็นเงินถึง 163 ล้านปอนด์ และ

นับวันนักเตะในอคาเดมีของพวกเขาก็มีค่าตัวแพงขึ้นเรื่อยๆ โดยใน 2 ฤดูกาลหลังสุด นักเตะลูกหม้ออย่าง ฟิกาโย โทโมรี และ มาร์ค เกฮี สามารถขายทำเงินได้ถึง 50 ล้านปอนด์ ขณะที่ แทมมี่ อับราฮัม ก็ถูกขายให้ โรม่า ในซีซั่นที่ผ่านมาด้วยราคาถึง 38 ล้านปอนด์

ถามว่าเชลซีได้รับผลกระทบดังกล่าวไหมจากการขายนักเตะเหล่านี้? คำตอบคือ แทบไม่มีส่วนไหนกระทบกับความแข็งแกร่งของทีมชุดใหญ่เลย เพราะเมื่อขายนักเตะกลุ่มดังกล่าวไป พวกเขาก็ปั้นนักเตะชุดใหม่ขึ้นมาแทน โดยในฤดูกาล 2022-23 นี้ก็จะเป็นโอกาสของ คอเนอร์ กัลลาเกอร์ ที่ถูก

ปล่อยยืมไปเล่นกับทีมอื่นในพรีเมียร์ลีกมา 2 ปีจนก้าวขึ้นไปติดทีมชาติอังกฤษชุดใหญ่ นอกจากนี้ยังมี อาร์มานโด้ โบรย่า กองหน้าชาวอัลแบเนีย ที่

ทำผลงานกับเซาธ์แฮมป์ตันในการยืมตัวซีซั่นที่ผ่านมาได้ดี จนมีข่าวว่ามีทีมจากพรีเมียร์ลีกพร้อมจ่ายค่าตัว 30 ล้านปอนด์เพื่อดาวเตะวัย 21 ปีรายนี้ และอีกคนคือ ลีวาย โคลวิลล์ ที่เพิ่งถูกปล่อยไปให้ไบรท์ตันยืมตัว สวนทางกับการย้ายมาร่วมทัพสิงห์บลูส์ของ มาร์ก กูกูเรย่า

ซึ่งนักเตะกลุ่มดังกล่าวก็ต้องพิสูจน์ตัวเองไม่ต่างจากนักเตะรุ่นพี่ก่อนหน้านี้ หากพวกเขาดีไม่พอที่จะเล่นให้กับทีมชุดใหญ่ เชลซี ก็พร้อมที่จะขาย และยังสามารถทำกำไรจากพวกเขาได้อีกมากมาย โดยที่ยังมีนักเตะรุ่นหลังรอต่อคิวไปเรื่อยๆไม่รู้จบ

นี่คือประโยชน์ของการลงทุนกับทีมเยาวชนแบบเต็มรูปแบบ มันทำให้เชลซีมีตัวเลือกมากมาย สามารถทำให้พวกเขาคัดเน้นๆ ให้เหลือแต่หัวกะทิเพียง

อย่างเดียวเท่านั้น ส่วนคนไหนที่ไม่ใช้ก็สามารถขายและนำไปต่อทุนซื้อนักเตะที่ทีมต้องการมาได้อีก ที่สำคัญ การขายนักเตะยังมีผลอย่างมากต่อกฎ FFP นั่นหมายความว่าเชลซีจะมีเงินหมุนเวียนอยู่เรื่อยๆ และมีความเสี่ยงน้อยมากที่จะทำผิดกฎ FFP หากพวกเขายังใช้วิธีนี้ต่อไป

ไม่ต้องบอกว่าเชลซีคิดถูกหรือผิดสำหรับการปล่อยนักเตะลูกหม้อออกไปปีละหลายๆคน เพราะเชลซีทำแบบนี้อยู่บ่อยครั้งในช่วงระยะเวลา 10 ปีหลัง

และหากเรามองไปที่ถ้วยรางวัลที่สโมสรแห่งนี้คว้ามาได้ รวมถึงสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่งภายใต้เจ้าของใหม่อย่าง ท็อดด์ โบห์ลี่ย์ ก็คงต้องยอมรับว่า เชลซี วางหมากไว้ดี และเดินเกมได้ตามที่พวกเขาตั้งไว้อย่างแท้จริง

UFABETWIN

UFABETWIN แชมป์โลกการันตี : ความหลากหลายทางเชื้อชาติที่ทำให้ “ฝรั่งเศส” แข็งแกร่ง

ฝรั่งเศส เป็นประเทศที่มีความหลากหลายทางเชื้อชาติมากมาย ทั้งจากอิทธิพลในยุคอาณานิคม จนกระทั่งมาถึงยุคการอพยพ และสิ่งเหล่านี้นำมาซึ่งปัญหาการเหยียดเชื้อชาติที่ยังคงมีอยู่ในประเทศ

 

ความแตกต่างที่เกิดขึ้นนำมาซึ่งความพยายามที่จะแก้ไขเรื่องเหล่านี้ให้หมดไปจากทั้งภาครัฐและเอกชน และถ้าหากจะบอกว่ามีองค์กรไหนในฝรั่งเศสที่ทำเรื่องนี้สำเร็จแล้วบ้าง คงตอบได้อย่างเต็มปากว่า “ฟุตบอล”

ทีมชาติที่อุดมไปด้วยความหลากหลาย กลายเป็นแชมป์โลก 2 สมัยได้เช่นไร ?

ปัญหาที่ทุกชาติต้องเจอ

ฝรั่งเศส คือหนึ่งในประเทศที่เรืองอำนาจที่สุดในยุคอาณานิคม หลังปี 1800 เป็นต้นมาพวกเขาพิชิตทวีปแอฟริกา ทั้ง เซเนกัล, ไอวอรี่โคสต์, โตโก, กาบอง, แอลจีเรีย และอีกหลาย ๆ ประเทศก่อนนำมาเป็นประเทศราช ซึ่งกลายเป็นเหตุผลที่ทำให้ภายในประเทศมีผู้คนเชื้อสายแอฟริกันมากมาย

 

และเรื่องยังไม่ได้จบแค่ชาวแอฟริกันเท่านั้น เพราะฝรั่งเศสยังเปิดรับผู้อพยพที่หวังพึ่งใบบุญแสวงหาชีวิตที่ดีกว่ามากมาย ตั้งแต่ ชาวโปแลนด์, อิตาเลียน, สเปน รวมถึงชาติอดีตอาณานิคมของพวกเขาเอง

อย่างไรก็ตามความจริงกับมายาคตินั้นต่างกัน แม้ฝรั่งเศสจะเป็นชาติที่มีความหลากหลายทางวัฒนธรรมและเชื้อชาติมานานหลายปี แต่สิ่งหนึ่งที่ยังคงเป็นปัญหาเหมือนกับทุก ๆ ประเทศคือการเหยียดเชื้อชาติ ซึ่งยังคงมีให้เห็นจนถึงทุกวันนี้ แม้จะรณรงค์เรื่องนี้ขนาดไหนก็ใช่ว่าสิ่งเหล่านี้จะหายไปได้ง่าย ๆ

UFABETWIN

รัฐบาลฝรั่งเศสพยายามจะแก้ปัญหาเรื่องนี้อย่างจริงจัง โดยในเดือนมิถุนายน 2018 สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติของฝรั่งเศสลงมติให้ถอดคำว่า “เชื้อชาติ” ออกจากรัฐธรรมนูญ โดยใช้คำว่า “เพศ” แทนเพื่อความเสมอภาคสำหรับการใช้ในทางกฎหมาย ดังนั้นเรื่องของเชื้อชาติและการนับจำนวนประชากรจากศาสนาในฝรั่งเศสจึงไม่มีอีกต่อไปแล้วในทางทฤษฎี ทว่าในทางปฏิบัติแน่นอนว่ามันไม่ใช่ทั้งหมด 100% อย่างแน่นอน

ประธานาธิบดีของฝรั่งเศสอย่าง เอ็มมานูเอล มาครง ได้พยายามแก้ปัญหามาอย่างต่อเนื่อง โดยหนึ่งในวิธีที่มาครงพยายามทำให้ชาวฝรั่งเศสทั้งหมดเป็นหนึ่งเดียวกันได้ก็คือ “ฟุตบอล” แม้ที่สุดแล้วจะมีการวิจารณ์ในกลุ่มหัวอนุรักษ์ว่า “ฝรั่งเศส ชุดแชมป์โลกปี 1998 และ 2018 มีนักเตะเชื้อชาติฝรั่งเศสแท้น้อยเกินไป” ทว่าในวันที่ทีมชาติฝรั่งเศสทั้ง 2 ชุดชูถ้วยแชมป์เวิลด์คัพ มีคำกล่าวที่ว่า “ไม่ว่าคุณจะมีผิวสีอะไร คุณสามารถออกมาร่วมฉลองบนท้องถนนได้โดยที่ไม่ต้องกลัวใครทำร้าย” … เพราะความหลากหลายทางเชื้อชาตินี่แหละที่ทำให้พวกเขาแข็งแกร่งในแบบที่ประเทศอื่นทำตามไม่ได้

จัดการแบบฝรั่งเศส

อย่างที่ได้กล่าวเอาไว้ข้างต้น แม้ฝรั่งเศสจะเป็นประเทศที่ขึ้นชื่อว่ามีความหลากหลายของเชื้อชาติ และพวกเขาเลิกนับจำนวนไปแล้วเพื่อให้เกิดความเท่าเทียม แต่ความจริงยังมีอีกหลายคนไม่พอใจที่ทีมชาติฝรั่งเศสที่ใช้นักเตะเชื้อสายแอฟริกันและแข้งมุสลิมมากเกินไป

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นเพราะความหลากหลายนี้เองที่ทำให้ฝรั่งเศสแข็งแกร่ง นักเตะฝรั่งเศสชุดทีมแชมป์โลก 1998 ถูกเรียกอีกชื่อว่า เป็นการเล่นคำที่หมายถึงความหลากหลายของนักเตะทีมชาติชุดนั้นได้แก “ดำ-ขาว-อาหรับ”

UFABETWIN

ความหลากหลายนำมาซึ่งความแข็งแกร่ง นักเตะเชื้อสายแอฟริกันเต็มไปด้วยพละกำลังและความเร็วในแบบของชนชาติที่เกิดมาเพื่อเป็นนักกีฬาโดยเฉพาะ พวกเขาเริ่มเข้ามาติดทีมชาติฝรั่งเศสมากขึ้นในช่วงยุค 1980s อับดูราห์มาน วาเบรี่ นักเขียนและนักวิชาการชาวฝรั่งเศส-จิบูตี ให้เหตุผลว่าเป็นช่วงเวลาที่ชาวฝรั่งเศสต้องเปิดรับนักเตะจากเชื้อชาติอื่น ๆ เพราะเป็นช่วงเวลาที่มีผู้คนอพยพเข้ามาในประเทศมากมาย แม้กระทั่งคนผิวขาวก็ยังมีเชื้อสายอื่น ๆ ที่มาจากผู้อพยพในช่วง 30-40 ปีก่อนหน้านี้

“ทีมชุดฟุตบอลโลกปี 1998 คือจุดเริ่มต้นของการยอมรับก็ไม่ผิดนัก นักเตะจากทีมชุดนั้นจำนวนมากมาจากครอบครัวผู้อพยพรุ่นแรกและรุ่นที่สอง เรื่องราวย้อนไปยุค 1950s พวกเขาส่วนใหญ่เป็นชาวโปแลนด์ ขณะที่ในทศวรรษที่ 1960s-1970s ก็ยังมีชาวอิตาลีและชาวสเปน ยิ่งเมื่อรวมกับกลุ่มชาวแอฟริกันที่อพยพมาหลังยุคอาณานิคม มันจึงทำให้เราเห็นความหลากหลายมากมายในทีมชาติฝรั่งเศสชุดปี 1998” อับดูราห์มาน วาเบรี่ อธิบาย

ก่อนหน้าจะถึงทีมชุดฟุตบอลโลกปี 1998 นั้น ฝรั่งเศสประสบปัญหาไปไม่ถึงฝันมาตลอดไม่ว่าจะทัวร์นาเมนต์ไหน ๆ เพราะหลังจากหมดยุค มิเชล พลาตินี่ ปัญหาที่เกิดขึ้นคือพวกเขามีนักเตะพรสวรรค์มากมาย แต่พอรวมเป็นทีมมันกลับกลายเป็นทีมที่ไม่สมบูรณ์และไม่ดีพอที่จะเป็นแชมป์ กล่าวคือเป็นทีมที่มีเทคนิคแต่ไร้ซึ่งพละกำลังและความเป็นหนึ่งเดียว นักเตะที่พวกเขาบอกกันว่าเป็น “ฝรั่งเศสแท้” อย่าง ฌอง ปิแอร์ ปาแป็ง, เอริค คันโตนา และ ดาวิด ชิโนลา กลับกลายเป็นนักเตะที่ปกครองยาก และต่างคนต่างก็มีปัญหาส่วนตัวกัน

คนที่เห็นปัญหานี้มานานคือ เอเม ฌาคเกต์ กุนซือชุดแชมป์โลกปี 1998 เพราะฌาคเกต์ทำงานในตำแหน่งมือขวาของ เชราร์ อุลลิเยร์ มาตั้งแต่ปี 1994 เขาเห็นปัญหาสปิริตทีมและการเป็นทีมที่สื่อฝรั่งเศสบอกว่า “ทีมตายน้ำตื้น” กล่าวคือเมื่อถึงเวลาเข้าด้ายเข้าเข็มถึงเกมสำคัญ ทีม ๆ นี้กลับไม่เคยเรียกฟอร์มที่ดีที่สุดของตัวเองมาได้

 

เหตุผลก็เพราะว่านักเตะตัวความหวังที่ทีมให้ค่าในฐานะฝรั่งเศสแท้อย่าง ปาแป็ง เป็นนักเตะที่ไม่มีวินัยเรื่องการรักษาความฟิต ขณะที่ คันโตนา ก็ขี้โมโหและทำให้บรรยากาศในห้องแต่งตัวแย่ ฌาคเกต์จึงสร้างทีมของเขาขึ้นมาใหม่สำหรับฟุตบอลโลกปี 1998 ที่แข่งขันในบ้านของตัวเองด้วยการสร้างทีมโดยใช้ “สปิริต” เป็นหลัก

 

ทุกคนต้องทำงานหนัก ต้องเล่นเกมรับกันอย่างแข็งขัน ความขี้เกียจไม่มีในพจนานุกรม เริ่มตั้งแต่ให้คนที่มีความเป็นผู้นำที่แท้จริงอย่าง ดิดิเยร์ เดส์ชองส์ ขึ้นมาเป็นกัปตันทีม และจากนั้นก็ตามมาด้วยนักเตะหน้าใหม่มากมายหลายคน และแต่ละคนก็มาจากต่างเชื้อชาติดังฉายา  อาทิ ซีเนดีน ซีดาน, ลิลิยอง ตูราม, บิเซนเต้ ลิซาราซู, ยูริ จอร์เกฟฟ์, ปาทริก วิเอร่า และ เธียร์รี่ อองรี

นักเตะฝรั่งเศสที่มีพื้นฐานมาจากเชื้อชาติอื่น ๆ นั้นนอกจากจะมีความแข็งแรงและความเร็วแล้ว สิ่งที่พวกเขามีคือความมุ่งมั่นอุตสาหะ นักเตะเหล่านี้ส่วนใหญ่เติบโตมาจากครอบครัวชนชั้นแรงงานในฝรั่งเศส พวกเขามาจากครอบครัวที่อยู่ได้ด้วยสวัสดิการจากภาครัฐ ขณะที่บางคนมาที่ฝรั่งเศสด้วยเหตุผลด้านฟุตบอลล้วน ๆ ดังนั้นการได้เล่นให้ทีมชาติฝรั่งเศสและการเติบโตในฐานะนักฟุตบอลคือหนึ่งในเส้นทางอนาคตที่จะทำให้พวกเขาได้รับการยอมรับและยกระดับครอบครัวขึ้นมาได้ เพื่อความสำเร็จนั้นพวกเขาอาจจะต้องเผชิญเรื่องการโดนเอาเปรียบ ความท้อแท้ การถูกเหยียดเชื้อชาติ แต่มันก็คุ้มที่จะพยายามผ่านช่วงเวลาเหล่านั้น

เรื่องความพยายามไม่มีการแบ่งสัญชาติ แต่แน่นอนว่าคนที่มาจากเคยยากลำบากนั้นจะเป็นคนที่เห็นความสำคัญของโอกาสมากเป็นพิเศษ นักเตะฝรั่งเศสหลายคนก็เป็นเช่นนั้น ดังนั้นเมื่อกลุ่มคนเหล่านี้ได้รับโอกาสพวกเขาก็จะไม่ปล่อยให้มันหลุดมือไปง่าย

 

ฌาคเกต์ บอกว่าทีมชาติฝรั่งเศสชุดปี 1998 ของเขาคือทีมที่เต็มไปด้วยความสามัคคีอย่างที่สุด และเหนือสิ่งอื่นใดคือคนที่เป็นเจ้านายของนักเตะเหล่านี้อย่าง ฌาคเกต์ นี่แหละที่คอยปฎิบัติกับพวกเขาในฐานะนักเตะทีมชาติฝรั่งเศส โดยเขาออกหน้ารับแทนนักเตะทุกคนที่โดนวิจารณ์ และนั่นทำให้ทีมชุดนั้นเป็นทีมที่มีเป้าหมายชัดเจนจนพิชิตแชมป์โลกสมัยแรกมาได้

“ฌาคเกต์เริ่มออกมารับแทนพวกเราทั้งหมดในแง่ของคำวิจารณ์ เขาทำมันเพื่อที่จะแน่ใจว่าเราจะมีสมาธิกับสิ่งเดียวคือการแข่งขัน เขาเป็นคนมีเกียรติอย่างที่สุด เขาวางเป้าหมายชัดเจนและมีแผนการที่ไม่โลเล ไม่ว่าจะโดนกระทบกระทั่งจากอะไร เขาจะอยู่บนแผนของเขาเสมอ พวกเรารวมใจและตั้งใจกันซ้อมที่ศูนย์ฝึกแกลร์ฟ็องแต็งที่ห่างไกลจากทุกสิ่ง เราถูกฝึกให้ปล่อยวางไม่สนใจโลกภายนอก และยิ่งเวลาผ่านไปเราก็รู้ดีว่าการแข่งขันครั้งนี้พวกเรามีโอกาสจะไปถึงจุดสูงสุดจริง” ลิซาราซู แบ็กซ้ายของทีมผู้มีเชื้อสายบาสก์ ยืนยันเรื่องการเอาชนะความกดดันภายใต้การนำของฌาคเกต์

 

สุดท้ายคุณก็ได้เห็นทีมชาติฝรั่งเศสชุดที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ความหลากหลายเชื้อชาติไม่ใช่ปัญหา พวกเขามีนักเตะเชิงรับอย่าง ลิลิยอง ตูราม, มาร์กแซล เดอไซญี่, คริสติยอง การอมเบอ, ปาทริก วิเอร่า และมดงานอีกหลายคนที่ทำหน้าหน้าที่ของตัวเองได้อย่างแข็งขัน ขณะที่แดนกลางมี ดิดิเยร์ เดส์ชองส์ เป็นหัวใจที่ฌาคเกต์บอกว่า “เป็นตัวแทนของเขาในสนาม” ขณะที่แดนหน้ามีนักเตะที่มีความเร็วจัดอย่าง เธียร์รี่ อองรี และเหนือสิ่งอื่นใดคือจอมเทคนิคเชื้อสายแอลจีเรียอย่าง ซีเนดีน ซีดาน … ความหลากหลายทำให้ฝรั่งเศสลงตัว ภายใต้การนำของโค้ชที่หยิบจับวัตถุดิบมาเติมเต็มจนกลายเป็นทีมที่สมบูรณ์แบบ

ฝรั่งเศสเล่นด้วยความแน่นอนตลอดทัวร์นาเมนต์ เสียประตูแค่ 2 ลูก และมีนักเตะถึง 9 คนที่ยิงประตูได้ในฟุตบอลโลกครั้งนั้น (มากที่สุดเหนือทุกทีม) สุดท้ายพวกเขาจบด้วยการเป็นแชมป์โลกสมัยแรกในประวัติศาสตร์

การเปลี่ยนแปลงถึง 2018

ทีมชุด 2018 นั้นมีบริบทที่แตกต่างจากทีมชุดปี 1998 พอสมควร เพราะเมื่อทีมชุด 1998 ที่เต็มไปด้วยความหลากหลายทางเชื้อชาติกลายเป็นทีมชุดที่ดีที่สุดในประวัติศาสตร์ชาติด้วยการคว้าแชมป์โลกและแชมป์ยูโร 2000 ก็ไม่มีใครจะสนใจอีกแล้วว่าทีม ๆ นี้จะใช้นักเตะแอฟริกันหรือเชื้อชาติอื่น ๆ มากเกินไป พวกเขาเอาความสำเร็จเป็นที่ตั้ง และแน่นอนทางภาครัฐก็พยายามทำให้เป็นนั้นมาตลอด

นักเตะฝรั่งเศสชุดแชมป์ฟุตบอลโลกปี 2018 จึงประกอบไปด้วยนักเตะเชื้อสายแอฟริกันทั้งหมด 12 คน มากที่สุดเหนือทุกทีมในฟุตบอลโลก 2018 จนถึงขั้นที่สื่อแอฟริกาตั้งฉายาว่า “แอฟริกันทีมที่ 6” เลยด้วยซ้ำ

 

นั่นไม่ใช่ปัญหาอะไร เมื่อนักเตะจากเชื้อสายอื่นกลายเป็นกำลังสำคัญในโลกยุคปัจจุบันที่การเหยียดเชื้อชาติลดน้อยลง และการมีนักเตะที่สร้างความแตกต่างได้อย่าง ปอล ป็อกบา, คีลิยัน เอ็มบัปเป้ และคนอื่น ๆ อีกหลายคน คุณจะหาใครมาแทนนักเตะพวกนี้ได้ ?

ความคล้ายกันของทีมชุด 1998 และ 2018 คือพวกเขามีกุนซือที่เป็นเหมือนโล่ให้กับนักเตะในทีม ดิดิเยร์ เดส์ชองส์ ในฐานะกุนซือทำเหมือนกับที่อดีตเจ้านายของเขาอย่างฌาคเกต์เคยทำ นั่นคือการรวมทีมให้เป็นหนึ่งและเล่นเพื่อเป้าหมายเดียวกันให้ได้

“ทีมฟุตบอลชาติฝรั่งเศสปี 2018 มีผู้เล่นที่หลากหลายจากแหล่งกำเนิดที่แตกต่างกัน ซึ่งเป็นวิธีที่ดีที่จะบอกว่านี่คือฝรั่งเศสยุคใหม่ซึ่งเป็นตัวแทนของผู้คนจำนวนมากที่เป็นชาวฝรั่งเศสที่และสมควรได้รับความเคารพและการปฏิบัติที่เท่าเทียมกัน” อลัน แบร์เนอร์ ศาสตราจารย์ด้านทฤษฎีกีฬาและสังคมแห่งมหาวิทยาลัยลัฟเบอระ  กล่าวถึงความเปลี่ยนไปของแนวคิดของผู้คนในฝรั่งเศสที่ฟุตบอลมีส่วนช่วยไม่มากก็น้อย

ในภาพกว้าง ๆ ไม่มีการกล่าวโทษนักเตะแอฟริกันอีกแล้วในวันที่ฝรั่งเศสผลงานแย่ และเช่นเดียวกันในวันที่พวกเขาได้รับชัยชนะและเดินออกมาบนท้องถนน นั่นคือวันที่ความหลากหลายของเชื้อชาติแทบจะถูกลืมไปชั่วขณะ ไม่ว่าคุณจะเป็นมุสลิม เอเชีย หรือแอฟริกัน คุณก็สามารถฉลองชัยชนะได้อย่างปลอดภัย

“เราสามารถปาร์ตี้บนท้องถนนได้โดยไม่ถูกคุกคาม ไม่มีใครสนว่าคุณจะมาจากแอลจีเรีย, แอฟริกา, อินเดีย หรือแม้แต่ตะวันออกกลาง … ขณะที่ในสนามคุณจะเป็นแอฟริกา, อาหรับ, คนขาว หรือมุสลิม ไม่มีใครกล้าสงสัยในตัวคุณแน่ตราบใดที่พวกเขายังเป็นทีมฟุตบอลที่ประสบความสำเร็จ” ทิม แฟนบอลชาวฝรั่งเศสเชื้อสายไอวอรี่โคสต์กล่าวกับสื่ออย่าง อัลจาซีรา

 

แม้จะยังไม่ใช่โลกในอุดมคติที่การเหยียดผิวและเชื้อชาติจะหมดไป 100% แต่ฝรั่งเศสก็ทำให้เห็นว่าการเชื่อมั่นในความแตกต่างและการเป็นทีมฟุตบอลที่ประสบความสำเร็จทำให้เกิดแง่บวกในเรื่องเหล่านี้ได้มากแค่ไหน ถ้าทุกคนสามารถมีเป้าหมายที่ตรงกันเชื้อชาติก็เป็นเรื่องรองเท่านั้น ดังที่ทีมฟุตบอลทีมชาติฝรั่งเศสทำให้เห็นเป็นตัวอย่าง

“นักเตะเหล่านี้มีรากฐานมาจากประเทศและวัฒนธรรมที่แตกต่างและเฉพาะเจาะจง พวกเขาภูมิใจในมรดกของตัวเอง และที่สำคัญกว่านั้นคือพวกเขาภูมิใจในมรดกของกันและกัน นี่คือสิ่งที่ทำให้พวกเขาเป็นชาวฝรั่งเศส ซึ่งต้องขอบคุณทีมชาติฝรั่งเศสที่ทำให้พวกเขาได้เห็นโลกในอุดมคติที่ควรจะเป็น” เกรกอรี่ เปอร์โรต์ ศาสตราจารย์และนักเขียนกล่าวทิ้งท้าย

UFABETWIN

UFABETWIN แฟรงกี้ใคร! เท็น ฮาก พูดติดตลกว่าเขา ‘ไม่รู้’ ถึงความสนใจของยูไนเต็ด พูดถึงไบรท์ตัน

UFABETWIN แฟรงกี้ใคร! เท็น ฮาก พูดติดตลกว่าเขา ‘ไม่รู้’ ถึงความสนใจของยูไนเต็ด พูดถึงเกมไบรท์ตัน

UFABETWIN พูดติดตลกว่าเขา “ไม่รู้” ว่าแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดกำลังพยายามเซ็นสัญญากับกอ งกลางบาร์เซโ ลนา อย่างน้อยเราคิ ดว่าเขาล้อเล่น หากไม่ใช่ แสดง ว่าเขาไม่ได้อ่ านเว็บไซต์นี้อย่างแน่นอน

เนื่องจากเราเขียนถึง 500 ครั้งต่อสัปดาห์โอนข่า วซุบซิบ: เชลซีไตร่ตรองกา รเสนอราคากลางหลังครั้งใหญ่, เป้าหมายที่แท้จริงข องแมนฯ ยูไนเต็ดมีรายงานว่าปีศาจแดงตก ลงค่าธรรมเ นียมกับบาร์เซโลน่า

แต่ผู้เล่นไม่กระตือรือร้นที่จะย้ายไปโอลด์ แทรฟฟอร์ดและ ท่ามกลางลิงก์ทั้งหมด ถูกถามเกี่ยวกั บในการแถลงข่าวเมื่อบ่ายวัน ศุกร์เขากล่าว เราต้องการ ฉันไม่รู้! มันเกี่ยวกับผู้เล่นที่เหมาะสม

ฉันไม่สามารถแสดงคว ามคิดเห็นเกี่ยวกั บผู้เล่นที่ทำสัญญากับสโมสรอื่น เมื่อมีข่าวเ ราจะนำมา”ยืนยันว่าเขา “มีความสุข” กับทีมของเขาและ “มีความสุข” กับการเซ็นสัญญากั บสโมสรในช่วงซัมเมอร์นี้

“นั่นจะเป็นสถานการณ์ที่ดี [การทำธุรกิ จการโอนให้เสร็ จสิ้น] แต่ฉันมีความ สุขกับทีม” เขากล่าว “ผมมีความสุขกับ การเซ็นสัญญา จนถึงตอนนี้ เรากำลังทำงานอย่างเต็มที่ ฉันมีความสุขกับทีมปั จจุบัน

UFABETWIN

และเราต้องการผู้เล่นที่เหมาะสม”ถ้าเขามีความสุขกับ ตัวเลือกกองกลางปัจจุ บันของเขา เขาเสริมว่า: “ผมคิดว่าอย่างนั้น อย่างที่เราเห็นใ นช่วงปรีซีซั่น เราทำได้ดีที่นั่น เรามีทีมที่ดี แต่เรายังสามารถเสริมความ แข็งแกร่ง

ให้กับที มได้”เป็นผู้เล่นใหม่สองคนที่จะ ผ่านประตูในช่วงซั มเมอร์นี้ เท็น ฮาก เปิดเผยว่าทั้งคู่ “ฟิตพอที่จะลงเป็นตัวจริง” เกมพรีเมียร์ลีกของยู ไนเต็ดกับไบร ท์ตันเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา“เราต้องกา รการแข่งขัน

ในทีม แต่เรากำลังเข้าสู่ฤดูกาลที่ยาวนานกับเกมมากมาย เราต้องการ ผู้เล่นที่ดีจำ นวนมาก พวกเขาฟิตพอที่จะเริ่มต้น”จะจัดการการแข่ง ขันนัดแรกของ เขาในฐานะหัวหน้าทีม กับฝ่ายของ และเขายอมรับว่าเขา

แค่มองไปข้างหน้าไม่ถ อยหลังและโดยเฉพาะไม่ก ลับมาที่การสูญเสีย 4-0 ของ ในฤดูกาลที่แล้วเพื่อเ ตรียมพร้อมสำหรับเกมวันอาทิตย์“ฤดูกาลที่แล้วคือฤดูก าลที่แล้ว ฉันตั้งตารอ ฉันกำลังเตรียมทีมสำหรับอนาคต

และสำหรับวันอาทิตย์ แค่นั้นเอง“ผมคิดว่าเราต้องตั้งตารอเกมแรก เราต้องการชนะทุกเกมและเราจะพยายามทำให้สำเร็จตั้งแต่วันอาทิตย์“มัน (ฤดูกาลใหม่) น่าตื่นเต้นเหมือนทุกฤดูกาล

แต่เมื่อคุณมากับทีมใหม่มันยาก แต่เราตั้งหน้าตั้งตารอวันอาทิตย์จริงๆ พวกเขา

UFABETWIN

(ไบรท์ตัน) เป็นทีมที่ดี ทีมที่ดี และเล่นฟุตบอลที่น่าดึงดูดใจ ผมชอบพวกเขา.” อาร์เซนอล :กาเบรียล เฆซุส (45 ล้านปอนด์, แมนเชสเตอร์ ซิตี้), ฟาบิโอ วิเอร่า (34 ล้านปอนด์, ปอร์โต้), แมตต์ เทิร์นเนอร์

(5.73 ล้านปอนด์, นิวอิงแลนด์), มาร์กินญอส (3 ล้านปอนด์, เซาเปาโล), โอเล็กซานเดอร์ ซินเชนโก้ (30 ล้านปอนด์, แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ). นอก : แบรนด์ เลโน (3 ล้านปอนด์, ฟูแล่ม), นูโน่ ทาวาเรส (ยืมตัว, มาร์กเซย), มัตเตโอ เกนดูซี (10 ล้านปอนด์, มาร์กเซย), คอนสแตนตินอส มาโวโรปานอส

(3 ล้านปอนด์, สตุ๊ตการ์ท), อเล็กซองเดร ลากาแซตต์ (ฟรี, ลียง), แฮร์รี่ คลาร์ก (ยืมตัว) , สโต๊ค), โอมาร์ เรกิค (ยืมตัว, สปาร์ต้า ร็อตเตอร์ดัม), ไทรีซ จอห์น-จูลส์ (ยืมตัว, อิปสวิช ทาวน์), จอร์ดี้ โอเซย์-ตูตู

(ฟรี, วีเอฟแอล โบชุม), มิก้า บีเรธ (ยืมตัว, อาร์เคซี วาลไวค์), แดน บัลลาร์ด (2 ล้านปอนด์, ซันเดอร์แลนด์), แซค สวอนสัน (ไม่เปิดเผย, พอร์ตสมัธ), ออสตัน ทรัสตี้ (ยืมตัว, เบอร์มิงแฮม), อาเธอร์ อ็อกวอนโว

(ยืมตัว, ครูว์), มาซีด โอกุงโบ (ยืมตัว, ครอว์ลี่ย์), ชาร์ลี ปาติโน (ยืมตัว, แบล็คพูล), โฟลาริน บาโลกัน (ยืมตัว, สต๊าด แร็งส์) ).

UFABETWIN

UFABETWIN นรกสวรรค์ห่างกันแค่คืบเดียว : การแพ้ เยอรมนี 1-7 กับราคาที่ต้องจ่ายของทีมชาติบราซิล

ทีมชาติบราซิลไม่เคยแพ้ทีมใดฟุตบอลโลกเกิน 3 ลูกเลยนับตั้งแต่พวกเข้าร่วมการแข่งขัน แต่ในปี 2014 ทีมที่พวกเขาเชื่อว่าดีพอที่จะบันดาลแชมป์โลกสมัยที่ 6 กลับถูก เยอรมนี ยิงเละเทะด้วยสกอร์ 1-7

 

ก่อนจะเกิดเกมที่เรียกว่า “แมตช์อัปยศ” บราซิล มาถึงจุดนี้ได้อย่างไร ?ในบ้านต้องแชมป์ ฟุตบอลโลก 2014 คือหนึ่งในฟุตบอลโลกที่ชาวบราซิลจดจำไม่มีวันลืม พวกเขาคือชาติที่เป็นแชมป์โลกมากที่สุดถึง 5 สมัย และเมื่อทัวร์นาเมนต์ปี 2014 มาถึง พวกเขาก็อยากจะทำในสิ่งที่พวกเขาไม่เคยทำได้ นั่นคือการฉลองแชมป์โลกในบ้านของตัวเองซึ่งยังไม่เคยเกิดขึ้น

 

เพราะเมื่อครั้งแรกที่บราซิลเป็นเจ้าภาพในฟุตบอลโลกปี 1950 พวกเขาแพ้ให้กับ อุรุกวัย 1-2 ในเกมสุดท้ายของรอบตัดสินแชมป์ ซึ่งเป็นนัดที่ส่งให้ทีมจอมโหดคว้าแชมป์โลกสมัยที่ 2

นั่นคือความหลังฝังใจของชาวบราซิลที่เล่ากันมารุ่นสู่รุ่น โดยในนัดชิงชนะเลิศปี 1950 ที่สนามมาราคาน่า นั้นมียอดผู้เข้าชมที่บันทึกได้ถึง 173,850 คน … ไม่มีเกมฟุตบอลเกมไหนบนโลกนี้อีกแล้วที่สามารถมีผู้ชมเข้าไปชมเกมในสนามมากขนาดนั้น

เมื่อฟุตบอลคือชีวิตของชาวบราซิล การที่พวกเขาได้เป็นเจ้าภาพในปี 2014 จึงถือว่าเป็นโอกาสสำคัญสุด ๆ เพราะนอกจากเรื่องฟุตบอลที่บราซิลไม่เคยยอมใครแล้ว ยังมีเรื่องการเมืองและการต้องสู้กับเสียงวิจารณ์ว่าการเป็นเจ้าภาพครั้งนี้ได้ไม่คุ้มเสีย เพราะบราซิลทุ่มงบประมาณไป 18,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และมีเงินจำนวนไม่น้อยที่หมดไปโดยไม่จำเป็นจากการคอรัปชั่นของนักการเมือง

 

อีกทั้งยังมีนักเศรษฐศาสตร์ออกมาวิจารณ์ถึงเรื่องการเป็นเจ้าภาพครั้งนั้นว่าเป็นการได้ไม่คุ้มเสีย เพราะถึงแม้จะเป็นทัวร์นาเมนต์ที่ดึงดูดผู้คนจากทั่วโลกให้มาที่บราซิล แต่ผู้ได้รับประโยชน์ไม่ใช่หน่วยธุรกิจท้องถิ่นของชาติเจ้าภาพ เพราะฟีฟ่ามีสปอนเซอร์ของตัวเองอยู่แล้วทั้ง แมคโดนัลด์, โคคา-โคล่า, บัดไวเซอร์ เบียดบังแบรนด์ท้องถิ่นไม่ให้เปิดตัวไปสู่คนที่เข้ามาเชียร์ถึงบราซิลได้ ขณะที่ค่าโรงแรม ค่ารถเช่า และเงินส่วนใหญ่จะไปเข้ากระเป๋าของนักธุรกิจระดับบนของประเทศทั้งนั้น

ปัญหาทางการเมืองและเศรษฐกิจเหล่านี้ถูกพูดถึงตลอดหลังจากที่บราซิลได้รับเลือกเป็นเจ้าภาพ บ้างก็ว่าควรเอางบประมาณทั้งหมดมาดูแลคุณภาพชีวิตประชาชนมากกว่า แต่ที่สุดแล้วเมื่อได้รับเลือกแล้วก็มีแต่จะต้องเดินหน้าต่อไป เพราะเราไม่มีทางรู้และคาดเดาได้เลยว่าเมื่อวันแข่งมาถึงจริง สิ่งที่หลายคนกังวลจะเกิดขึ้นจริงหรือไม่ แต่สิ่งหนึ่งที่ชาวบราซิลทุกคนสามารถคาดเดาได้คือ หากพวกเขาสามารถจบทัวร์นาเมนต์ด้วยการเป็นแชมป์ในบ้านของตัวเอง มันจะกลายเป็นประวัติศาสตร์และเป็นเทศกาลการเฉลิมฉลองครั้งใหญ่ยิ่งที่สุดยิ่งกว่างานคาร์นิวาลครั้งไหน ๆ

 

ความสำเร็จของฟุตบอลจะช่วยทำให้พวกเขาลืมดราม่าที่เคยเกิดขึ้น เพราะตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันฟุตบอลคือกีฬาที่สร้างความสามัคคีให้กับคนในชาติ ทุกครั้งที่บราซิลลงแข่งขันในบ้านตัวเองแฟนบอลของพวกเขาจะเป็นหนึ่งเดียวกันเพื่อสนับสนุนทีม ไม่มีการแบ่งแยกอายุ เชื้อชาติ อัตลักษณ์ทางเพศ วัฒนธรรม รวมถึงสถานะทางเศรษฐกิจและสังคมใด ๆ … เรียกง่าย ๆ ว่าเมื่อเกมฟุตบอลเริ่มขึ้นมันจะเหมือนเป็นการจุดประกายทางจิตวิญญาณให้กับชาวบราซิลในแบบที่ไม่มีสิ่งไหนเทียบได้

ดังนั้นฟุตบอลโลก 2014 ท่ามกลางดราม่ามากมายต้องจบด้วยตำแหน่งแชมป์เท่านั้น สำหรับผู้คนที่นี่ไม่มีเป้าหมายอื่นอีกแล้ว ดังที่ หลุยส์ เฟลิเป้ สโคลารี กุนซือของทีมได้บอกก่อนทัวร์นาเมนต์จะเริ่มว่า “มีเป้าเดียวที่เรามองสำหรับทัวร์นาเมนต์นี้ นั่นคือตำแหน่งแชมป์”

เมื่อคาดหวังย่อมกดดัน สมาคมฟุตบอลบราซิลรู้ดีว่าความคาดหวังนั้นมากขนาดไหน พวกเขาเริ่มเตรียมทีมชุด “ฟุตบอลโลก 2014” ก่อนที่ทัวร์นาเมนต์จะเริ่ม 2 ปี เริ่มจากการล้มกระดาน ปลดกุนซือเก่าอย่าง มาโน่ เมเนเซส ออกจากตำแหน่งในปี 2012 เพราะ เมเนเซส พยายามเปลี่ยนแปลงทีมเป็นทีมเลือดใหม่แต่กลับไม่ประสบความสำเร็จและมีผลงานไม่ดีในเกมอุ่นเครื่อง และในโคปา อเมริกา ปี 2011 บราซิล ก็ต้องตกรอบ 8 ทีมสุดท้ายด้วยการแพ้ให้กับ ปารากวัย ในการดวลจุดโทษ แถมยังไม่สามารถนำทีมแซมบ้าชุด U-23 คว้าเหรียญทองโอลิมปิก ในศึกลอนดอน 2012 ได้อีกด้วย

แม้ เมเนเซส จะเป็นกุนซือคนแรกที่ให้โอกาส เนย์มาร์ ในการเล่นกับทีมชุดใหญ่ แต่นักเตะคนอื่น ๆ ที่เขาเลือกติดทีมกลับเป็นนักเตะที่ไม่ถูกใจแฟนบอลและสื่อ เช่น การเลือก รามิเรส กองกลางจาก เชลซี เป็นตัวหลักของทีม การให้โอกาสนักเตะที่ผลงานยังไม่ชัดเจนทั้ง เปาโล เอนริเก้ กานโซ่, เอเลียส, ฌาดสัน, ซานโดร และ อังเดร ซานโตส โดยแฟนและสื่อเชื่อว่ามีตัวเลือกที่ดีกว่านักเตะเหล่านี้

 

UFABETWIN

 

ดังนั้นในช่วงเวลาที่เหลือแค่ 2 ปี จึงมีการลงความเห็นว่ามีคนเดียวเท่านั้นที่จะมาจัดการทุกอย่างภายในระยะเวลาอันสั้น คน ๆ นั้นคือ หลุยส์ เฟลิเป้ สโคลารี่ อดีตกุนซือทีมชาติบราซิล ชุดแชมป์โลกสมัยที่ 5 ในปี 2002 จุดเด่นของสโคลารี่คือเป็นคนที่เข้าใจระบบและรู้จักเลือกนักเตะมาเพื่อใช้งานสำหรับการแข่งขันแบบทัวร์นาเมนต์ อีกทั้งยังมีแทคติกที่เหมาะกับฟุตบอลแบบทัวร์นาเมนต์ นั่นคือเชื่อมั่นในความสมดุลเกมรับและเกมรุก ซึ่งวิธีการดังกล่าวนั้นยากมากสำหรับทีมชาติอย่างบราซิลที่เต็มไปด้วยศิลปินลูกหนังมากมาย

สโคลารี่ เป็นโค้ชที่รวมทีมให้เป็นหนึ่งเดียวได้ดี โดยในปี 2002 เขาเองก็เคยได้รับคำชมว่าเขาทำให้บราซิลชุดนั้นถูกเรียกว่า “สโคลารี่ แฟมิลี่” ที่ส่วนใหญ่นักเตะที่เขาใช้จะเป็นนักเตะแบบผสมผสานกันทั้งกลุ่มแข้งหน้าเก่าที่เป็นกระดูกสันหลังและกลุ่มนักเตะหน้าใหม่ ๆ ที่แฟนบอลอาจไม่คุ้นชื่อ

แต่อย่างไรเสีย สโคลารี่ ก็ทำงานของตัวเองออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม นับตั้งแต่คุมทีมชาติบราซิลในปี 2012 จนถึงฟุตบอลโลก 2014 บราซิลลงสนามไปทั้งหมด 25 เกม และแพ้เพียงแค่ 2 เกมเท่านั้น เหนือสิ่งอื่นใดคือการพาทีมคว้าแชมป์คอนเฟเดอเรชั่นส์ คัพ 2013 ด้วยด้วยฟอร์มที่สวยงามและทรงประสิทธิภาพ บราซิลชนะทุกเกมในทัวร์นาเมนต์นั้น ยิงไป 14 ประตูจาก 5 เกม

เหนือสิ่งอื่นใดนักเตะอย่าง เนย์มาร์ แสดงให้เห็นว่าเป็นคนที่พึ่งพาได้ในทีมชุดนี้ ส่วนตัวอื่น ๆ อย่าง ออสการ์, ฮัลค์ และ ลูคัส มูร่า ก็ได้รับคำชมไปพร้อม ๆ กัน เรียกได้ว่าเป็นการคว้าแชมป์คอนเฟเดอเรชั่นส์ คัพ แบบหมดจดและทำให้คำวิจารณ์เรื่องตัวนักเตะแทบจะหายไปเลย เพราะนักเตะที่แฟนบอลมองว่าไม่ดีพออย่าง โช อัลเวส (ดาวซัลโวอันดับ 3 ของทีม), เฟร็ด (ดาวซัลโวสูงสุดของทัวร์นาเมนต์) และ เปาลินโญ่ (ติดทีมยอดเยี่ยมของทัวร์นาเมนต์) ก็โชว์ฟอร์มสมราคาทีมชาติในทัวร์นาเมนต์นั้น

บราซิล เดินหน้าเข้าสู่ฟุตบอลโลก 2014 ในฐานะเจ้าภาพและทีมที่ฟอร์มดีที่สุดในรอบ 2 ปีหลังสุด เหนือสิ่งอื่นใดทุกบ่อนพนันเปิดราคาให้พวกเขาเป็นเต็ง 1 ของทัวร์นาเมนต์ เนื่องจากช่วงอุ่นเครื่องก่อนฟุตบอลโลกพวกเขาถล่ม ฝรั่งเศส ไป 3-0 ชนะ โปรตุเกส ไปอีก 3-1 และบุกไปชนะ อังกฤษ ที่เวมบลีย์อีก 2-1 อีกด้วย

ไม่ทันได้เตรียมใจ บราซิล เริ่มต้นฟุตบอลโลก 2014 แบบคนมือขึ้น รอบแบ่งกลุ่มเก็บ 7 แต้มจาก 3 เกม แนวรุกเล่นกันยอดเยี่ยมยิงกันไป 7 ประตู และ เนย์มาร์ ก็เป็นที่พึ่งของทีมได้จริง ๆ ด้วยการหวดไป 4 ลูกในรอบแบ่งกลุ่ม ถึงเวลานั้นหากใครยังจำกันได้ แฟนบราซิลเกิดอาการฟุตบอลฟีเวอร์กันอย่างน่าเหลือเชื่อ มีการจับเด็กน้อยมาแต่งคอสเพลย์เป็นนักเตะในทีมชาติ มีการฉลองชัยชนะแต่ละเกมทั่วทุกมุมเมือง

นักเตะอย่าง เนย์มาร์ กลายเป็นเหมือนกับพระเจ้าของชาวบราซิล ทุกสัมผัสของเขาสร้างความแตกต่างได้ และทีมก็มีสปิริตทีมที่ยอดเยี่ยมนำโดย แม่ทัพอย่าง ติอาโก้ ซิลวา, ดานี่ อัลเวส, มาร์เซโล่, ดาวิด ลุยซ์ รวมถึงตัวของ เนย์มาร์ เอง พวกเขามีคลิปวิดีโอตลก ๆ เผยแพร่มาให้แฟนบอลได้ติดตามเป็นระยะ ๆ เรียกได้ว่าพวกเขาแทบจะอยู่ในสถานะ “ไร้ความกดดัน” เพราะบรรยากาศในทีมชาติบราซิลตอนนั้นสมบูรณ์แบบและพร้อมเป็นแชมป์อย่างที่สุด

เกมรอบ 16 ทีมสุดท้ายดำเนินไปแบบใจหายใจคว่ำ บราซิล ชนะ ชิลี ในช่วงการดวลจุดโทษ 3-2 (เสมอในเกม 1-1) ก่อนที่รอบต่อไปจะต้องเจอกับ โคลอมเบีย เพื่อนร่วมทวีปที่ฟอร์มดีแบบสุด ๆ นำโดย ฮาเมส โรดริเกซ ซึ่งฟอร์มโดดเด่นมากในทัวร์นาเมนต์นั้น แต่บราซิลก็ผ่านไปได้แบบไม่ยากลำบากนัก ชนะ 2-1 ที่อาจเป็นตัวเลขที่สวยงาม แต่ถ้ามองไปในรายละเอียด เกมนั้นคือเกมที่สั่นคลอนความมั่นใจของบราซิลที่สั่งสมมาตลอด 2 ปีที่สุด ด้วยสองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับ 2 นักเตะที่ดีที่สุดในทัวร์นาเมนต์ของพวกเขา

 

UFABETWIN

 

นาทีที่ 64 ติอาโก้ ซิลวา กองหลังกัปตันทีมเสียใบเหลือง และนั่นจะทำให้เขาพลาดการลงเล่นในรอบ 4 ทีมสุดท้ายกับ เยอรมนี หลังสะสมครบโควตา 2 ใบ ซ้ำร้ายที่เรื่องแย่ ๆ ยังไม่จบ ในนาทีที่ 88 บราซิลพยายามครองบอลเผาเวลาและส่งบอลไปให้เนย์มาร์เป็นหลัก และนั่นกลายเป็นต้นเหตุที่ให้ ฮวน ซูนิก้า แบ็กขวาของโคลอมเบียเก็บอารมณ์ไม่อยู่ วิ่งไล่ตามเนย์มาร์ในจังหวะสวนกลับ ซึ่งแน่นอนว่าไม่มีทางตามทัน

ทางเลือกเดียวที่ซูนิก้าจะทำได้ตอนนั้นคือต้องตัดฟาวล์ เพราะเกมยังตามหลังแค่ลูกเดียว หากเนย์มาร์ผ่านเขาไปได้ก็อาจจะยาวถึงการเสียประตูที่จะดับฝันโคลอมเบียได้ ดังนั้นซูนิก้าจึงไม่รอช้าตัดเกมแบบเด็ดขาดและรุนแรงเกินไป เขาสับศอกลงกลางหลังของเนย์มาร์ ทิ้งให้นักเตะเบอร์ 1 ของบราซิลลงไปนอนกลิ้งด้วยความเจ็บปวดและไม่สามารถเล่นต่อไหว จนต้องเปลี่ยนตัวออกด้วยการเอา เฮนริเก้ ลงมาแทน

กล้องถ่ายทอดสดจับภาพไปที่เพื่อนร่วมทีม สโคลารี่ และแฟนบอลเจ้าภาพในสนาม ทุกคนแสดงอาการหวาดวิตกออกมาแบบเก็บอารมณ์ไม่อยู่ อาการของเนย์มาร์ดูชัดเจนว่าเจ็บจริง และอีกไม่กี่วันข้างหน้าพวกเขาจะต้องลงเล่นรอบตัดเชือกกับ เยอรมนี หนึ่งในทีมที่ดีที่สุดของโลก ณ เวลานั้น … ซึ่งก็อย่างที่หลาย ๆ คนรู้กัน เนย์มาร์หายไม่ทันเกมดังกล่าว ก่อนนำมาซึ่งเกมประวัติศาสตร์ของทั้ง 2 ชาติ โดยมีคำกล่าวก่อนเกมระหว่างบราซิลกับเยอรมนีว่า บราซิล แพ้ตั้งแต่ก่อนเดินลงสนามแล้ว

สวรรค์กับนรก บราซิล ลงสนามพร้อมกับการถ่ายภาพทีมที่เหมือนเป็นเค้าลาง มาร์เซโล่ ถือเสื้อของเนย์มาร์ที่ไม่ได้ลงสนามในเกมนั้น เว็บไซต์ ได้วิเคราะห์ว่า แค่การเอาเสื้อของคนที่ไม่ได้ลงแข่งขันไปร่วมถ่ายรูปทั้ง ๆ ที่ยังไม่ได้เริ่มเกมก็ถือเป็นความพ่ายแพ้ด้านจิตวิทยาแล้ว

เพราะการกระทำเช่นนั้นตีความได้หลายความหมาย คุณอาจจะหมายความว่าเนย์มาร์ยังอยู่กับพวกคุณแม้ไร้ชื่อลงเล่น แต่เหนือสิ่งอื่นใดมันสื่อให้เห็นว่าการขาดเนย์มาร์ส่งผลกระทบกับความมั่นใจของทีมมากแค่ไหน … คุณกลัวว่าการขาดนักเตะที่ดีที่สุดในทีมจะทำให้คุณต้องพบกับสิ่งที่คุณไม่เคยเจอมานาน นั่นคือความพ่ายแพ้

ไม่ใช่แค่นักเตะบราซิลเท่านั้น แต่สื่อก็คอยประโคมข่าวการขาดกำลังสำคัญไปในหลายทิศทาง ทั้งวงในวงนอกออกมาเผยเรื่องลับ ๆ ในแคมป์ตั้งแต่หลังเกมกับโคลอมเบีย อาทิ เนย์มาร์เจ็บยาวจนกระดิกตัวไม่ได้ หรือแม้กระทั่งการพยายามร้องให้ฟีฟ่าแจกใบแดงย้อนหลังให้ซูนิก้า และอีกมากมาย … พวกเขาทำเหมือนกับโลกจะแตก ทั้ง ๆ ที่ฟุตบอลเป็นเรื่องของทีมและสู้กันด้วยความมั่นใจ

ขณะที่ฝั่ง บราซิล กำลังสั่นคลอน เยอรมนี ชุดฟุตบอลโลก 2014 เบ่งบานถึงขีดสุดกับการผสมกันระหว่างนักเตะเลือดใหม่กับนักเตะที่มีประสบการณ์ พวกเขามีระบบทีมที่ชัดเจนแน่นอน มีวินัยเข้มข้น ทุกคนเข้าใจหน้าที่ของตัวเอง โดย โธมัส มุลเลอร์ ที่เป็นหนึ่งในซีเนียร์ของทีมชุดนั้นให้สัมภาษณ์ในภายหลังว่า “ในเยอรมนีเราไม่เชื่อเรื่องซูเปอร์สตาร์ พวกเราถูกสอนมาตั้งแต่อายุน้อยว่าให้เล่นเป็นทีมไม่ใช่เพื่อให้ตัวเองโดดเด่นเพียงคนเดียว … นั่นคือเหตุผลที่ทำไมคุณไม่ค่อยเห็นนักเตะเยอรมันคว้าบัลลงดอร์ แต่บนหน้าอกเสื้อของเรากลับมีดาวถึง 4 ดวง”

ไม่ว่าจะด้วยเรื่องอะไรที่อยู่เบื้องหลังก็ไม่จำเป็นต้องอธิบายอีกแล้วเมื่อเกมเริ่มขึ้น เยอรมนี เล่นเกมนั้นได้อย่างสมบูรณ์แบบ พวกเขาแทบไม่ปล่อยให้ บราซิล ได้ครองบอล ทัพอินทรีเหล็กไล่กดเจ้าบ้านจนโงหัวไม่ขึ้นในแดนตัวเอง และความเฉียบขาดก็ชี้ขาดเกม จาก 1 เป็น 2 เป็น 3 เป็น 4 และยาวไปจน 7 ลูก … สีหน้าของแฟนบอลบราซิลในวันนั้นบอกทุกอย่าง ความช็อกมาเยือนทั้งประเทศ พวกเขาหลายคนหลั่งน้ำตาผ่านกล้องถ่ายทอดสด นั่นเป็นสัญญาณบอกว่าความฝันการฉลองแชมป์ในบ้านได้จบลงแล้ว

นักเตะบราซิลร้องไห้แทบทุกคนหลังจบเกม พวกเขาให้สัมภาษณ์ขอโทษแฟนบอลสำหรับการที่ไม่สามารถให้ของขวัญที่ทุกคนอยากได้ที่สุดได้ … มีการวิเคราะห์หาเหตุผลมากมายเกิดขึ้น สโคลารี่ไม่ยอมเล่นเกมบุก, สโคลารี่เลือกนักเตะไม่ดี, บราซิลไม่มีตัวแทนของเนย์มาร์ และ ติอาโก้ ซิลวา หรือแม้กระทั่งนักเตะบราซิลถอดใจง่ายเกินไป

ขณะที่ฝั่งผู้ชนะอย่าง เยอรมนี แสดงให้เห็นว่าพวกเขามาที่นี่เพื่อเป็นแชมป์จริง ๆ โทนี่ โครส กองกลางของทีมโดนสื่อยื่นไมโครโฟนถามถึงความรู้สึกของเขา ก่อนจะตอบทันควันว่า “เรามาที่นี่เพื่อตำแหน่งแชมป์โลก ไม่มีใครเป็นแชมป์โลกเพราะชนะในรอบรองชนะเลิศ … สิ่งที่คุณเห็นในวันนี้จะถูกลืมไป สิ่งที่เราจะทำในรอบชิงชนะเลิศคือสิ่งที่เราจะจำได้แม่นยำ และแน่นอนว่าวันนี้เราจะทำผลงานที่ยอดเยี่ยมแบบนี้กันอีกครั้ง”

เมื่อฟุตบอลเป็นกีฬาที่เล่นเป็นทีม เยอรมนี สามารถตีตราแชมป์โลกสมัยที่ 4 ของพวกเขาได้สำเร็จหลังเอาชนะ อาร์เจนตินา 1-0 ในรอบชิงชนะเลิศ ขณะที่สำหรับ บราซิล ความพ่ายแพ้ในเกมนั้นคือนัดอัปยศที่ยังคงถูกพูดถึงจนทุกวันนี้ ความพ่ายแพ้ 1-7 นำมาซึ่งการวิจารณ์ต่อเนื่องถึงการพยายามเป็นเจ้าภาพที่ไม่ได้ผลการแข่งขันตามที่ต้องการ เรื่องราวของตัวเลข การเมือง และเศรษฐกิจ ถูกนำมาถกกันอย่างร้อนแรงอีกครั้ง … และนั่นคือราคาของการเป็นผู้แพ้

 

UFABETWIN